บทที่ 1533 นี่คือหัวใจของฉัน
ในห้องวีไอพีเล็ก
เจียงเสี่ยวไป๋นั่งเงียบๆ เธอสั่งหม้อไฟ หม้อไฟเดือดพล่านไปด้วยฟองปุดๆ ตู้เซียวหยู่ยังไม่มา ดังนั้นเธอจึงใส่ผักกาดขาวและมันฝรั่งไม่กี่ชิ้นลงไป
เธอยังสั่งเบียร์เพิ่มอีกสองสามขวดด้วย
ผักกาดขาวและมันฝรั่งเกือบจะสุกแล้ว เธอคีบมันขึ้นมาใส่ไว้ในจานของตัวเอง จากนั้นก็ใส่เนื้อวัวลงไปในหม้อ แล้วบีบซอส จนเมื่อเนื้อวัวคลุกเคล้าเข้ากันกับซอสดีแล้วก็เอามาวางลงบนผักกาดขาว ประกบกันเป็นหนึ่งคำกลมกล่อม
นี่เป็นวิธีการกินที่เธอชอบ
จากนั้นก็กินมันฝรั่งชิ้นเล็กๆ แล้วเปิดขวดเบียร์ด้วย
ทั้งหมดเป็นรสชาติที่คุ้นเคย ที่เธออยู่ต่างประเทศในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาไม่เคยทานหม้อไฟเลย เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มแสบจมูกอยากร้องไห้ แล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดที่หางตาตัวเอง
ก๊อกๆ…
มีคนมาเคาะประตู เจียงเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้น น่าจะเป็นแม่ของเธอมาล่ะมั้ง
คิดถึงเรื่องนี้แล้วเธอก็วางตะเกียบลงแล้วลุกไปเปิดประตู
ตู้เซียวหยู่มาพบลูกสาวด้วยการแต่งตัวพิถีพิถันเป็นพิเศษ เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสวยและมีการแต่งหน้า
ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเธอจะชอบแต่งตัวแบบนี้ แต่ตั้งแต่เสี่ยวไป๋ไปต่างประเทศ อารมณ์ความรู้สึกของตู้เซียวหยู่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน นานมากแล้วที่ไม่ได้แต่งตัวแต่งหน้าดีๆ ให้ตัวเอง แม้แต่การบำรุงก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ดังนั้นช่วงนี้ผิวของเธอจึงแย่ลง
ทันทีที่คิดว่าจะได้เจอลูกสาว ก่อนแต่งหน้าเธอมาส์กหน้าก่อนด้วย เพื่อให้ตัวเองดูไม่แก่มากนัก
เมื่อสองแม่ลูกพบกัน ต่างคนก็ต่างเงียบ เป็นเวลานานกว่าที่เจียงเสี่ยวไป๋จะขยับริมฝีปากอย่างฝืดเคือง
“คุณแม่”
ตู้เซียวหยู่ก้าวเดินเข้าไปในห้องวีไอพีอย่างระมัดระวัง
ปัง!
หลังจากประตูห้องวีไอพีปิดลง ตู้เซียวหยู่ถึงได้เห็นว่าเธอกำลังทานหม้อไฟ
“ฉันไม่รู้ว่าแม่มาเมื่อไร ก็เลยทานไปก่อนบางส่วน และดื่มไปนิดหนึ่งด้วยค่ะ”
เมื่อพูดจบเจียงเสี่ยวไป๋ก็สะอึกหลังดื่มเบียร์ จากนั้นสองแม่ลูกก็ต่างคนต่างชะงัก ครู่ต่อมาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกันขึ้นมา
หลังจากหัวเราะกัน ดวงตาของทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ จากนั้นก็ไม่สามารถกักเก็บได้อีก
หลังจากที่ไม่สามารถกักเก็บได้ เครื่องสำอางบนใบหน้าทั้งสองก็ลบเลือน แต่เพราะความเป็นแม่ลูก ดังนั้นที่สุดแล้วก็ไม่ต้องเติมแต่ง นั่งลงทานหม้อไฟกันเลย
ตู้เซียวหยู่เหลือบมองและพูดขึ้นทันที “หม้อไฟนี่ถือว่าเผ็ดมาก ทานหม้อไฟที่เผ็ดร้อนแบบนี้ แกอยู่ต่างประเทศไม่ได้ทานเผ็ดมานานแล้วทานได้เหรอ”
“ใครบอกว่าฉันทานไม่ได้คะ ฉันพิจารณาว่าคุณมากกว่าที่ทานเผ็ดไม่ได้ใช่ไหมคะ”
“นี่ แกพิจารณาฉันเหรอ” ตู้เซียวหยู่เปิดโหมดเยาะเย้ยเจียงเสี่ยวไป๋ “แกพอดีกว่าไหม แกกินเผ็ดจากการบ่มเพาะอยู่ในท้องของฉัน แล้วแกยังจะสามารถเผ็ดเกินฉันได้เหรอ”
“คุณแม่ คุณนี่ล้าหลังจริงๆ นะคะ ไม่เคยได้ยินเหรอว่าคลื่นด้านหลังของแม่น้ำแยงซีผลักคลื่นด้านหน้า คุณกับฉันไม่สามารถเปรียบเทียบความเผ็ดกันได้หรอกค่ะ”
“ให้บริกรมาเพิ่มแล้วแข่งกันไหมล่ะ”
“ได้ค่ะ แข่งก็แข่ง”
จากนั้นสองแม่ลูกก็ตะโกนเรียกบริกรมาเติมพริก ทั้งหม้อเดือดลุกไหม้แดงร้อน น้ำมันร้อนเผาอาหารที่ถูกใส่ลงไปจนเป็นสีเดียวกัน เมื่อคีบขึ้นมาควันก็พวยพุ่งขึ้นสู่อากาศ แข่งกันคุณบ้างฉันบ้าง
สองแม่ลูกทานกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนเหงื่อตกและท้องร้อนดั่งไฟแล้ว ทั้งสองถึงได้หยุด
ตู้เซียวหยู่เหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋และด่าเธอ “ยัยคนนี้นี่ คิดว่าแกไปต่างประเทศครึ่งปี น่าจะไม่คุ้นกับพริกแล้ว ไม่คิดว่าจะยังทานได้มากขนาดนี้ จะให้ฉันตายเหรอ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็กะพริบดวงตาสวยปริบๆ “ผู้อาวุโสควรยอมให้รุ่นหลัง คุณแม่ ฉันเป็นลูกสาวของคุณ คุณยังจะแข่งกับฉันต่ออีกเหรอคะ”
“ไม่แข่งแล้วๆ” ตู้เซียวหยู่โบกมือ แล้วยกเบียร์เทเข้าปากอึกหนึ่ง “ถ้าแข่งต่อไปท้องแม่ต้องระเบิดแน่”
อันที่จริงเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ที่ทั้งสองมาแข่งกัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้
ท้องเผาไหม้รุนแรง แต่จะให้ดื่มอีกก็ไม่ได้แล้ว เสี่ยวไป๋ได้แต่หยุดนิ่งและนอนลงบนโต๊ะ “คุณแม่คะ”
เสียงเรียกยานคางและนุ่มนวลอ้อนน่ารัก ราวกับย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน
เมื่อตอนที่เสี่ยวไป๋ยังเด็ก วันทั้งวันอยู่ติดแต่กับตู้เซียวหยู่ เมื่อใดก็ตามที่มีอะไรขอร้องเธอจะนอนลงบนโต๊ะ และมองเธออย่างน่าสงสารพร้อมกับเรียกเสียงยานคางและอ้อนน่ารัก
เสี่ยวไป๋ที่ตอนนี้กลายเป็นแม่คนไปแล้ว ในสายตาของตู้เซียวหยู่ดูเหมือนว่าจู่ๆ เธอก็กลายเป็นสาวน้อยขี้อ้อนน่ารักคนนั้น
“คุณแม่คะ ฉันคิดถึงเขาจัง”
เจียงเสี่ยไป๋ดื่มแอลกอฮอล์ไปจนหน้าค่อนข้างแดง แววตามองไปยังตู้เซียวหยู่ด้วยตาลอยๆ เล็กน้อย ตู้เซียวหยู่รู้ว่าเธอเมาแล้วจะเริ่มพูดไร้สาระ
“คิดถึงเขาจังเลยค่ะ” เจียงเสี่ยวไป๋บึนปาก ตาแดง “แต่ว่า เขาจะมาหาฉันเพื่ออะไรล่ะ เขายังจำแสงจันทร์ขาวในใจได้ใช่ไหม ฉันก็รู้ ฉันก็รู้ว่าฉันไม่ควรกลับมา ฉันไปเป็นครึ่งปีแม้แต่สักข้อความเขาก็ไม่เคยส่งมาให้ฉัน พอฉันกลับมายังจะพูดอะไรได้อีก ฉันว่าเขาสุดแสนจะอยากให้ฉันรีบจากไปไกลๆ!”
พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ใช้มือตบโต๊ะ “หลังจากฉันจากไป เขาก็สามารถหาแสงจันทร์ขาวที่เขาวางไว้บนยอดสุดของหัวใจได้แล้ว!”
ยิ่งพูดยิ่งโกรธ มือของเจียงเสี่ยไป๋กวาดไปด้านข้าง บังเอิญไปปัดจานทั้งหมดตกจากโต๊ะจนเกิดเสียงดังแตกร้าว
“อ๊ะ!” เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้งตกใจ ยกมือขึ้นมากุมหัวใจตนเอง กอดตัวเองนอนขดขึ้นบนเก้าอี้และพูดว่า “เด็กน้อยตกใจมากเลย เซียวซู่ไอ้ผู้ชายบ้าทำไมยังไม่มาปกป้องฉันอีก ฮือออ เขาต้องไปหาแสงจันทร์ขาวของเขาแล้วแน่ๆ ทุกครั้งที่มีเรื่อง เขาก็จะมุ่งหน้าไปหาเธอ!”
“ทั้งๆ ที่! ฉันต่างหากที่เป็นแฟนเขา! แต่ฉันได้แต่มองดู มองดูเขาวิ่งไปหาคนอื่น เพื่ออะไรกัน”
ดวงตามีบางอย่างร่วงหล่นลงมา กระทบลงบนหลังมือ เจียงเสี่ยวไป๋ที่ดื่มจนเมาเอื้อมมือไปหยิบมันเหมือนเด็กเล็กๆ หลังจากประคองมันไว้ในอุ้งมือก็จ้องมันอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่สักพัก
“นี่คืออะไรเหรอคะ” เธอประคองน้ำตาไว้บนฝ่ามือพลางมองไปยังตู้เซียวหยู่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เดิมทีตู้เซียวหยู่ยังรู้สึกว่าในกระเพาะราวกับมีไฟแผดเผารุนแรง แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ หัวใจก็เหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เธอมองไปที่น้ำตาของเจียงเสี่ยวไป๋ ก่อนจะหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วบอกเธอ
“เด็กโง่ นั่นคือน้ำตาของแกไงลูก”
“ไม่!” คิดไม่ถึงว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะส่ายศีรษะอย่างรุนแรงเพื่อโต้แย้งเธอ ท่าทางจริงจังมาก “นี่ไม่ใช่น้ำตา!”
เธอก้มหน้าลง การแสดงออกเหมือนเยาะเย้ยตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความขมขื่น “นี่คือหัวใจของฉันค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของตู้เซียวหยู่ก็สั่นเทิ้ม เหมือนถูกแทงด้วยเข็มนับพันเล่ม “เสี่ยวไป๋…”
“ฉันให้หัวใจของฉันกับเขา ทำไมเขาถึงไม่รักฉัน” เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำเสียงต่ำ ในขณะที่ขยับเคลื่อนไหวอย่างมึนเบลอ แต่เจียงเสี่ยวไป๋ที่เป็นแบบนี้สำหรับตู้เซียวหยู่แล้ว มีเพียงความเจ็บปวดใจ เจ็บปวดใจแสนสาหัส
เธอหันหลังไปเช็ดน้ำตาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ “ไป แม่จะพาแกไปหาเซียวซู่เพื่อจะได้คุยกัน ถามเขาว่าทำไมถึงทำกับแกแบบนี้!”