บทที่1546 เด็กผู้หญิงนี่บอบบางขนาดนี้เลยเหรอ
“ไม่รู้? ตอนที่หม่ามี๊ออกมาจากห้องครัวหยวนหยวนก็ร้องไห้แล้ว ถ้าผมไม่รู้ งั้นใครจะเป็นคนมาบอกกับหม่ามี๊ว่าเรื่องนี้มันยังไงกันแน่?”
หานมู่จื่อย่อตัวลงมาที่ตรงหน้าของเสี่ยวหมี่โต้ว:“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? หม่ามี๊รู้ว่าลูกรู้อะไรควรอะไรไม่ควร แต่ยังไงซะหยวนหยวนเป็นเด็กผู้หญิง ลูกไปดุใส่เธอหรือเปล่า?”
เสี่ยวหมี่โต้วฟังแล้วยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เขาเม้มปากถึงพูด: “ไม่ได้ดุครับหม่ามี๊ ผมก็แค่เห็นเธอกินเยอะ ก็เลยว่าเธอไปคำนึงเฉยๆ”
ตอนนั้นเขารู้สึกน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้มีปัญหา แต่ก็ยังได้แหย่จนคนอื่นร้องไห้จนได้
“ว่าไปคำนึง?”
หานมู่จื่อนึกย้อนไปครู่นึง ตัวเองก็เคยบอกกับถางหยวนหยวนหลายครั้งว่าอย่ากินขนมและของหวานมากเกินไป แต่ยัยตัวเล็กคนนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
ทำไมเสี่ยวหมี่โต้วพูดคำเดียวก็ร้องไห้เลย?
“แล้วตอนพูดน้ำเสียงของลูกแรงไปหรือเปล่า?” หานมู่จื่อได้แต่สอบถามจากจุดนี้
“ผมรู้สึกไม่แรงนะครับ”
“หรือว่าสีหน้าลูกดุ?”
“หม่ามี๊…….”
“หม่ามี๊ไม่ได้กล่าวโทษลูก แค่อยากถามสถานการณ์ของตอนนั้นให้ชัดเจน เพราะลูกแหย่หยวนหยวนร้องไห้เป็นเรื่องจริง เธอเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? ปกติชอบตามตูดลูกมากแค่ไหน? เอาล่ะ ในเมื่อลูกไม่อยากพูดงั้นหม่ามี๊ก็ไม่ถามลูกแล้ว ไม่แน่เดี๋ยวพรุ่งนี้ยัยตัวเล็กก็อาจจะลืมเรื่องนี้แล้ว”
พอพูดจบ หานมู่จื่อได้ขยี้ศีรษะของเสี่ยวหมี่โต้ว: “เอาล่ะ ลูกก็อย่าคิดมากเลย รีบไปนอนเถอะ”
หลังหานมู่จื่อออกจากห้อง เสี่ยวหมี่โต้วนั่งอยู่บนเตียงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ ตกลงเขาทำจุดไหนผิดกันแน่?
ต่อมา เสี่ยวหมี่โต้วก็ไม่ได้คิดอีก ได้นอนลงบนเตียง
จากนั้นก็ฝันเห็นเสียงร้องไห้ของถางหยวนหยวนทั้งคืน ทำเอาเขานอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน ตอนที่ตื่นขึ้นมาสีหน้าค่อนข้างอิดโรย
เด็กผู้หญิงนี่บอบบางขนาดนี้เลยเหรอ?
เสี่ยวหมี่โต้วไม่ค่อยเชื่อ ดังนั้นก็เลยไปหาเสี่ยวโต้วหยาแต่เช้า จากนั้นก็นึกย้อนน้ำเสียงและสีหน้าที่ตัวเองพูดกับถางหยวนหยวนในเมื่อคืน และพูดให้เสี่ยวโต้วหยาฟังอีกครั้ง
เสี่ยวโต้วหย่าเอียงศีรษะมองเขา จู่ๆหัวเราะคิๆขึ้นมา
เสี่ยวหมี่โต้วมุมปากกระตุก เขาลืมไปเลยว่าน้องสาวเขาไม่ค่อยเหมือนคนปกติ บวกกับเธออายุน้อยเกินไป เอาเธอมาทดสอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
คิดถึงตรงนี้ เสี่ยวหมี่โต้วยื่นมือดีดศีรษะของเสี่ยวโต้วหยาทีนึง
“หยุดได้แล้ว ขืนหัวเราะอีก หม่ามี๊จะกังวลว่าเธอเป็นเอ๋ออีกแล้ว?”
ที่จริงหานมู่จื่อเคยกังวลปัญหานี้จริงๆ ต่อมาได้พาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่ผลตรวจทุกอย่างปกติหมด หมอบอกว่าเสี่ยวโต้มหยาเป็นคนร่าเริงและชอบหัวเราะตั้งแต่เกิด
ตอนนี้เสี่ยวหมี่โต้วก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ในขณะเดียวกันก็หวังให้เป็นเช่นนี้
แบบนี้ บางทีต่อไปน้องสาวจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว
“พี่ชาย”เสี่ยวโต้วหยาจับนิ้วมือของเขามาแคะที่ปาก จากนั้นก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างเซ่อๆ: “แหะๆๆ”
“เฮ้อ!” เสี่ยวหมี่โต้วถอนหายใจ จากนั้นได้อุ้มเธอขึ้นมา: “ง่วงหรือเปล่า? พี่พาเธอกลับห้อง?”
“โอเคค่ะ”
เสี่ยวโต้วหย่าเพิ่งตื่น ก็ถูกเสี่ยวหมี่โต้วอุ้มกลับไปนอนต่อ
วันนี้เป็นสุดสัปดาห์ ปกติเวลานี้คุณนายถางจะพาถางหยวนหยวนมา แต่วันนี้เงียบสงบทั้งวัน คุณนายถางไม่ได้พาถางหยวนหยวนมาเลย
พอช่วงเที่ยง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ดังนั้นหานมู่จื่อเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับเสี่ยวหมี่โต้วมากขึ้น เห็นเขาไม่ค่อยต่างจากปกติก็วางใจแล้ว
หลังทานข้าวเสร็จ คุณนายถางได้โทรมาอธิบายว่าวันนี้ที่บ้านมีแขก ก็เลยมาไม่ได้ หลังจากหานมู่จื่อบอกไม่เป็นไร พอวางสายก็เห็นเสี่ยวหมี่โต้วยืนอยู่ข้างกาย เธอจึงได้พูดกับเขาว่า: “วันนี้ที่บ้านของเสี่ยวหวยวนหยวนมีแขก ก็เลยมาไม่ได้แล้วนะ”
“ครับ”
เสี่ยวหมี่โต้วหันหลังกลับ มีแขกมาที่ไหนกัน ไม่อยากมาที่บ้านชัดๆ?
ไม่มาก็ไม่มาสิ อายุยังน้อยก็เจ้าอารมณ์ขนาดนี้ พอโตขึ้นจะขนาดไหน?
วันที่สองถางหยวนหยวนก็ไม่ได้มา การใช้ชีวิตทุกอย่างของตระกูลเย่เหมือนปกติ ตอนแรกเย่โม่เซินยังกังวลว่าถางหยวนหยวนไม่มา เสี่ยวหมี่โต้วจะราวีผู้หญิงของเขา คิดไม่ถึงตอนนี้เสี่ยวหมี่โต้วหัดเป็นเด็กเชื่อฟังแล้ว ทุกวันหลังจากทานข้าวเสร็จก็กลับห้องนอน ยังช่วยดูแลน้องสาวเป็นครั้งคราว
ด้วยเหตุนี้ เย่โม่เซินรู้สึกพึงพอใจมาก
วันที่สามถางหยวนหยวนก็ไม่มาอยู่ดี หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ ถางหยวนหยวนก็ไม่มาเลย คุณนายถางโทรมากล่าวขอโทษทุกวัน หาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง
หานมู่ก็คิดไม่ถึงว่านิสัยของยัยหนูจะเจ้าอารมณ์ขนาดนี้ แต่พอคิดๆก็รู้สึกเธอเป็นแค่เด็กอายุสามสี่ขวบเอง ถึงเจ้าอารมณ์แค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นจำนานขนาดนี้ หรือว่าคนของตระกูลถางนึกว่าถางหยวนหยวนอยู่ที่นี่ถูกรังแก ก็เลยไม่อยากส่งลูกมาแล้ว?
คิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อได้ถอนหายใจทีนึง ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นก็หมดหนทางแล้ว
อย่างไรก็ตามฝ่ายตรงไม่ได้พูดอะไรเลย เธอเป็นฝ่ายไปถามก็ไม่ดี
ในขณะที่หานมู่นึกว่ายัยตัวเล็กคนนั้นจะไม่มาบ้านตัวเองแล้ว วันที่สองคุณนายถางก็ได้พาถางหยวนหยวนมาหา
ตอนที่เข้ามาสีหน้าเธอเต็มไปด้วยความอึดอัด พูดกับหานมู่จื่อตลอด: “ต้องขอโทษจริงๆนะมู่จื่อ หยวนหยวนเอาแต่ใจเกินไป ก่อนหน้านี้ฉันอยากพาเธอมา แต่เธอไม่ยอมมา วันนี้พอตื่นนอน ถึงบอกกับฉันว่าอยากมาเล่นกับพี่ชายและน้องสาว”
“ไม่เป็นไรจ้า”หานมู่จื่อค่อนข้างแปลกใจ: “ไม่นึกเลยว่าเธอจะโกรธได้นานขนาดนี้?”
“ก็ใช่น่ะสิ”คุณนายถางพยักหน้า: “ยัยเด็กคนนี้เจ้าอารมณ์จริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่อารมณ์ที่บ้าน ทุกวันดูไม่มีความสุขเลย ก็ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ช่วงนี้ขนมก็กินน้อยลงแล้ว”
หานมู่จื่อดูยัยตัวเล็กทีนึง พบว่าถางหยวนหยวนหลบสายตาเธอด้วยจิตใต้สำนึก เธอก็เลยยื่นมือไปหาถางหยวนหยวน:“ให้น้ามู่จื่ออุ้มหน่อยนะ?”
ยังไงก็ยังเป็นแค่เด็กอายุสามสี่ขวบ ได้ยินหานมู่จื่อพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนี้ ก็ได้กางมือไปหาเธอ
หานมู่จื่ออุ้มเธอมา:“เบาลงจริงๆด้วย ดูท่าช่วงนี้คงกินน้อยลง เสี่ยวหยวนหยวนบอกกับน้าซิว่าพี่ชายดุหนูหรือเปล่าคะ? เดี๋ยวน้าช่วยหนูตัดสินเอง”
ถางหยวนหยวนส่ายหัว และพูดเสียงเบา:“เปล่าค่ะ พี่ชายไม่ได้รังแกเสี่ยวหยวนหยวนค่ะ”
ต่อมาเห็นเธอก็ไม่ค่อยอยากพูด หานมู่จื่อก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ อุ้มเธอไว้และคุยกับคุณนายถางพักนึง จากนั้นคุณนายถางก็ได้จากไป
หานมู่จื่ออุ้มถางหยวนหยวนกับเสี่ยวโต้วหย่ามาที่ห้องรับแขก เธอเอาจิ๊กซอว์และตัวต่อไม้ให้เด็กสองคน พร้อมทั้งกำชับ: “ของพวกนี้แค่เอาไว้เล่นเท่านั้น ห้ามเอาเข้าปากหรือว่ากลืนลงไปนะ เข้าใจมั้ยคะ?”
เด็กผู้หญิงสองคนเงยหน้าฟังเธอพูดจบ ทั้งสองต่างก็พยักหน้า
“อืม เด็กดี”
ขณะนี้ เสี่ยวหมี่โต้วเดินลงมาจากชั้นบน พอได้ยินเสียงฝีเท้า ถางหยวนหยวนที่เดิมทียังอยู่ในสภาพผ่อนคลายได้ตื่นเต้นขึ้นมาทันที นั่งตัวตรง ร่างกายเหมือนเกร็งมาก