บทที่1564 ความรู้สึกที่เติบโตขึ้น
“ความรู้สึกที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน จะต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
จงฉู่เฟิงได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับตำแหน่งยี่ซูในใจของถางหยวนหยวนได้เลยล่ะมั้ง?
เมิ่งเข่อเฟยที่นั่งอยู่ตรงแถวหลังมองปฏิกิริยานี้ของจงฉู่เฟิง เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าลงไป
แต่เสี่ยวโต้วหยากลับยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่ได้ล่วงรู้อะไรเลยสักนิด “พี่ฉู่เฟิง รีบขับรถสิ พวกพี่ๆเขาไปกันแล้ว”
จงฉู่เฟิงได้สติกลับมา มองเสี่ยวโต้วหยาไปเล็กน้อย เอ่ยพร้อมหัวเราะแหะๆออกมา “โชคดีที่ที่ยังมีเสี่ยวโต้วหยากับน้องเข่อเฟยอยู่”
หลังจากที่ขับรถออกไป จงฉู่เฟิงก็พูดกับหานจื่อซีที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ
“จื่อซี นี่คือเมิ่งเข่อเฟยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหยวนหยวนของนายนะ ออกไปกับพวกเราเป็นครั้งแรก ต่อจากนี้คงจะได้ออกไปด้วยกันอีกบ่อยๆ นายลองทำความรู้จักกันสักหน่อย”
“น้องเข่อเฟย นี่เป็นเด็กบ้านคุณลุงของพี่ซู ชื่อหานจื่อซี เขามีพี่ชายฝาแฝดคนนึงชื่อว่าหานย่างเชิน”
“ฝาแฝด?” เมิ่งเข่อเฟยรู้สึกแปลกใจออกมาเล็กน้อย
“สวัสดี” หานจื่อซีหันมาทักทายเมิ่งเข่อเฟย ใบหน้าอันหล่อเหลา แววตาใสกระจ่างที่ทำให้คนอื่นมองแล้วรู้สึกดีขึ้นมา
เมิ่งเข่อเฟยจึงได้ทักทายเขาออกไปเช่นกัน
“เธอไม่รู้ว่าสองพี่น้องนี่น่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นฝาแฝดกัน แต่นิสัยไม่เหมือนกันเลยสักนิด ตอนเด็กๆคนนึงเป็นเด็กขี้แย คนนึงเป็นเด็กเงียบๆ ไม่ยอมพูดมากแม้แต่ประโยคเดียว”
ความแตกต่างกันอย่างนี้ทำเอาเมิ่งเข่อเฟยรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาอย่างมาก “แตกต่างกันเยอะขนาดนี้เลยหรอคะ?”
“พี่ฉู่เฟิง” หานจื่อซีเห็นว่าเขาพูดเรื่องพวกเขาสองพี่น้องขึ้นมาต่อหน้าผู้หญิงที่เพิ่งจะรู้จักกัน ใบหูก็แดงไปหมด “เลิกพูดได้แล้ว”
“ไอ้หยา หน้าของจื่อซีน้อยของเราแดงไปหมดแล้ว เพราะว่าวันนี้มีผู้หญิงอยู่ด้วยหรอ? อย่าอายไปเลย พี่ฉู่เฟิงก็แค่แนะนำลักษณะของพวกนายสองพี่น้องเท่านั้นเอง นายจะตื่นตระหนกไปทำไม? นี่ไม่เป็นการยอมรับกลายๆหรอว่านายคือเจ้าเด็กขี้แยคนนั้นเอาหรือไง?”
เสี่ยวโต้วหยาหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้า
เมิ่งเข่อเฟยเองก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน
“พี่ฉู่เฟิง นั่นเป็นเรื่องสมัยเด็กของผมทั้งนั้นเลย ไม่เกี่ยวกับตอนนี้ ตั้งแต่ที่ผมรู้ความก็ไม่ได้ร้องไห้อีก”
ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หานจื่อซีคิดว่าเรื่องที่น่าขายหน้าที่สุดก็คือเรื่องขี้แยเรื่องนี้ เขาไม่อยากเอ่ยขึ้นมาอีก แต่ทุกครั้งก็ยังถูกคนอื่นยกขึ้นมาเป็นเรื่องตลกกันขึ้นมา
เขาเองก็หน่ายใจสุดๆ
“เอาล่ะเด็กน้อย ฉันจะไม่ล้อเล่นแล้ว อีกอย่างลูกผู้ชายเสียน้ำตามีอะไรน่าขำกัน? ไม่ว่าจะเสียเลือดหรือว่าเสียน้ำตา ขอเพียงแค่ตอนปกตินั้นดูสง่าผ่าเผย จะน้ำตาไหลหรือว่าเลือดไหลมันจะเกี่ยวอะไรกัน?”
“อืม” เมิ่งเข่อเฟยเห็นด้วยกับคำพูดนี้ พยักหน้าออกมาเล็กน้อย “ตอนเด็กๆทุกคนก็เคยร้องไห้กันหมดนั่นแหละ ฉันตอนเด็กๆแม่ก็บอกว่าฉันก็ขี้แยเหมือนกัน ตอนเด็กยังเถียงออกไปบ้าง แต่หลังจากที่โตแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรอีก อายุน้อย อะไรก็ไม่เข้าใจเลย”
ได้ยินคำพูดนี้ จงฉู่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะมองเมิ่งเข่อเฟยไปอย่างจริงจังผ่านทางกระจกมองหลัง แต่ก็พบว่าตอนที่เธอพูดคำพูดพวกนี้ออกมา สายตาดูมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังสุดๆ
“น้องเข่อเฟย อายุเท่ากับน้องหยวนหยวนใช่มั้ย?”
“ค่ะ แต่ฉันแก่กว่าเธออยู่สองสามเดือน”
“ก็แค่แก่กว่าสองสามเดือน ความคิดของเธอดูมีวุฒิภาวะมากกว่าเธอเสียอีก น้องหยวนหยวนเหมือนกับไม่โตขึ้นเลย เมื่อก่อนตะกละยังไง ตอนนี้ก็ยังตะกละอยู่ ไม่ได้มีท่าทางของเด็กม.ปลายเลยสักนิด เฮ้อ”
พูดมาถึงตรงนี้แล้ว จงฉู่เฟิงก็ส่ายหน้าออกมา
“อย่างนี้มันก็ดี จะได้ไม่ต้องไปปวดหัวกับอะไร”
“นั่นมันก็ใช่ เธอก็แค่เด็กน้อยที่ไร้ความกลัดกลุ้ม แต่ก็ยินดีที่จะให้เธอได้มีความสุขอย่างนี้ตลอดไป”
เพราะคำพูดประโยคนี้เอง เมิ่งเข่อเฟยจึงได้มองจงฉู่เฟิงอยู่นาน คิดอยู่ว่าตนพบอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ได้ผ่านไปประมาณสองชั่วโมงแล้ว พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางกัน
ที่นี่เป็นหุบเขา เข้าไปจะต้องซื้อตั๋วทางเข้า ตรงยอดเขามีน้ำพุร้อนแล้วก็ยังมีวิลล่าอยู่ด้วย ถ้าคิดว่าบนยอดเขาจะขึ้นไปยากและรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ก็สามารถพักกันอยู่ตรงเนินเขาได้ เพราะมีเกสต์เฮาส์เล็กๆที่สร้างเอาไว้โดยเฉพาะ
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งมาถึง ก็ได้เอาอาหารและน้ำออกมาจากท้ายรถ ถางหยวนหยวนแบกกระเป๋าเล็กๆของตัวเอง หนักจนใบหน้าเล็กของเธอขมวดเข้าหากันเป็นกลุ่มก้อน
ทันใดนั้นเองบนหัวก็มีเสียงถอนหายใจดังเข้ามา บนบ่าของถางหยวนหยวนเบาขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้พบว่ากระเป๋าได้ถูกยู่ฉือยี่ซูหิ้วขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
“นี่พกของกินเครื่องดื่มมาเท่าไหร่กันเนี่ย?”
แก้มของถางหยวนหยวนแดงก่ำออกมา “ไม่เยอะเลยค่ะพี่ชาย เดี๋ยวหยวนหยวนจะแบ่งให้พี่ดื่มด้วย”
ยู่ฉือยี่ซูช่วยถางหยวนหยวนถือกระเป๋า จื่อซีกับเสี่ยวโต้วหยานั่งอยู่ด้วยกัน จึงช่วยเธอถือ กระเป๋าของเมิ่งเข่อเฟยก็ส่งไปให้กับจงฉู่เฟิง
ข้างๆมีผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกับหานจื่อซีไม่มีผิดเพี้ยนคนหนึ่ง รูปร่างผอมสูง นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
เขาคงเป็นหานย่างเชินแฝดคนที่เงียบๆไม่ชอบพูดจาคนนั้นที่จงฉู่เฟิงพูดถึง
นิสัยใจคอของฝาแฝดคู่นี้สืบทอดมาจากพ่อแม่ของพวกเขา หานย่างเชินสืบทอดนิสัยที่ไม่ชอบพูดจามาจากหานชิงที่นิ่งเงียบอยู่ตลอด
ส่วนหานจื่อซีก็นิสัยไม่ได้ต่างไปจากเสี่ยวเหยียนเท่าไหร่นัก ค่อนข้างจะขี้อายอยู่บ้าง ใบหูก็แดงง่าย
“ทำเหมือนอย่างที่เคยกันจะดีกว่า ขึ้นไปจนถึงไหล่เขาก่อน แล้วค่อยพักอยู่ที่เดิมสักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยออกเดินทางต่ออีกที”
“อืม”
คนอื่นต่างก็คุ้นเคยกับเส้นทางกันทั้งนั้น แต่เมิ่งเข่อเฟยนั้นมาเป็นครั้งแรก เธอตื่นเต้นนิดหน่อย แต่โชคดีที่จงฉู่เฟิงดูแลเธอดีมาก
“น้องเข่อเฟย น้องหยวนตามไปพร้อมกับพี่ชายของเธอ เธอก็เดินมากับฉันเถอะ อย่าเที่ยวเดินไปไหนและก็อย่าแตกแถวด้วย ป่าแถบนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายอะไร แต่ตอนกลางคืนก็น่ากลัวอยู่นะ”
เมิ่งเข่อเฟยจึงตามหลังเขาไปติดๆ
“ความสัมพันธ์ของเธอกับหยวนหยวนดีมากเลยใช่มั้ย?”
“อืม รู้จักกันมาหลายปีแล้ว”
“งั้นปกติแล้วตอนที่เธออยู่โรงเรียน มีเด็กผู้ชายส่งจดหมายรักมาให้เธอหรือเปล่า?”
ถามจบ จงฉู่เฟิงก็ได้หลุดหัวเราะเสียงต่ำออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “คงไม่มีทางหรอกมั้ง? เด็กคนนั้นกลมดิ๊กเสียอย่างนั้น จะมีใครมาชอบเธอกัน?”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เมิ่งเข่อเฟยขมวดคิ้วเอ่ยออกไปอย่างไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่นัก “พี่ฉู่เฟิง พี่อย่าว่าเธออย่างนี้เลย ถ้าหยวนหยวนได้ยินเข้าจะเสียใจเอาได้นะ”
“ทำไมแม้แต่เด็กอย่างเธอก็ยังปกป้องเธอขนาดนี้เลย? ฉันไม่ใช่ว่าแค่แอบพูดอยู่ลับหลังเงียบๆเองไม่ใช่หรอ? เธอยังไม่บอกฉันเลยนะว่ามีเด็กผู้ชายให้จดหมายรักเธอหรือเปล่า?”
เมิ่งเข่อเฟยส่ายหน้าออกไปเล็กน้อย “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก”
“ชิส์ น้องเข่อเฟย พี่อุสส่าห์ช่วยเธอถือกระเป๋า แต่เธอกลับไม่รู้จักบุญคุณคน ก็แค่ถามคำถามเล็กๆน้อยๆกับเธอแค่คำถามเดียว เธอก็ไม่ยอมตอบ”
“พี่ฉู่เฟิง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหยวนหยวน ถ้าพี่อยากรู้ล่ะก็ ฉันว่าพี่ไปถามหยวนหยวนเองจะดีกว่านะคะ”
“ชิส์ เธอเห็นมั้ยล่ะ?”
จงฉู่เฟิงชี้ไปทางร่างสูงและร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า “คนที่ปกป้องอยู่ข้างๆน่ะ ฉันมองเข้าหน่อยก็ถูกสายตาฆ่าฟันเข้าแล้ว ถ้าฉันเกิดไปถามเข้าอีกสักนิด ฉันจะไม่ถูกฝังทั้งเป็นไปเลยหรือไง? น้องเข่อเฟย เธอว่าคนผู้นี้น่ากลัวขนาดนี้ ฉันจะไปกล้าถามที่ไหนกัน ใช่มั้ยล่ะ?”
เมิ่งเข่อเฟยมองไปตามสายตาของเขา สองคนนั้นเดินอยู่ด้วยกัน ร่างอวบของถางหยวนหยวนเดินไปสักพักก็เอียงไปอีกฝั่งนึง ยู่ฉือยี่ซูจึงต้องเอื้อมมือออกไปประคองเธอด้วยความใส่ใจ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “เดินดีๆ เดี๋ยวตกลงไปจะทำไง?”
“ไม่ใช่ว่ามีพี่ชายอยู่หรอ? ไม่ตกหรอก” ถางหยวนหยวนความจริงแล้วก็อยากเดินดีๆเหมือนกัน แต่เหมือนว่าเธอจะอ้วนไปหน่อย เดินไปแล้วรู้สึกเหนื่อยขึ้นมานิดหน่อย ร่างก็เลยเอนไปอย่างไม่รู้ตัว