บทที่1604 มันจะต้องมีสักเหตุผลนึงสิ
คำพูดของเมิ่งเข่อเฟยได้ทำให้ถางหยวนหยวนตกอยู่ในความเงียบไปในทันที
“ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เธออย่าใส่ใจไปเลย”
เมิ่งเข่อเฟยรีบกู้สถานการณ์ออกมาทันที เอ่ยพร้อมหัวเราะออกไปเบาๆ “ยังไงซะก็เดินตามหัวใจของเธอน่ะถูกแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อใคร ตัดสินใจยังไง แค่ไม่ทำร้ายตัวเองก็พอแล้ว”
“ก็ยังคงเป็นเฟยเฟยที่ดีกับฉัน”
ถางหยวนหยวนกอดแขนของเมิ่งเข่อเฟยเอาไว้อย่างวางใจ “งั้นต่อจากนี้ไปพวกเราก็มาพยายามกันเถอะ เธอตั้งใจเรียนให้ดี ฉันก็จะตั้งใจลดน้ำหนัก”
จากนั้นหลังจากที่จางเสี่ยวลู่กับหยวนเย่าหันมา พบว่าถางหยวนหยวนผอมลงบ้างแล้ว ก็แปลกใจออกมาเล็กน้อย ตอนที่ถามออกไป ถางหยวนหยวนเองก็ไม่ได้กั๊กอะไร เพียงเอ่ยออกไปอย่างเขินๆ “ฉันคิดว่าฉันอ้วนเกินไปแล้ว ก็เลยอยากลดน้ำหนักลงสักหน่อย”
หยวนเย่าหันกับจางเสี่ยวลู่สบตากัน ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างก็เห็นถึงอารมณ์ที่เหมือนกันในแววตาของอีกฝ่าย
ในที่สุดเด็กคนนี้ก็รู้ตัวว่าตัวเองอ้วนสักที พวกเธอก็ยังคิดอยู่เลยว่าเธอจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่จะลดความอ้วนได้
แต่ภายนอกกลับยังคงเอ่ยปลอบถางหยวนหยวนออกไปด้วยรอยยิ้ม
“เธออ้วนที่ไหนกันน่ะ ฉันคิดว่าหุ่นเธอกำลังดีเลยนะ ลดความอ้วนอะไรพวกนั้นมันก็ไม่ได้ดีกับร่างกายมั้ยล่ะ เธออย่าลดเลยดีกว่า”
“ใช่ๆ อีกอย่างเธอดูเนื้ออวบๆน่ารักของเธอสิ ถ้าลดลงไป จะไม่น่ารักเอานะ”
ทั้งสองคนแสร้งอวยถางหยวนหยวนกันออกมา
ก่อนหน้านี้คำพูดพวกนี้ไม่เคยพูดมาก่อนเลย
“จริงเหรอ?” ถางหยวนหยวนถามออกไปด้วยอาการเขินหน้าแดง
“แน่นอนสิ เธอดูผู้หญิงในโรงเรียนสิ มีคนไหนบ้างที่น่ารักไปกว่าเธอ?”
“พวกเราคิดว่าเธอน่ารักจริงๆนะ ดังนั้นแล้วถ้าลดความอ้วนมันลำบากนัก ก็อย่าไปลดเลย”
ไม่ ไม่ได้ ถางหยวนหยวนโคลงศีรษะออกไป น่ารักมันไม่มีประโยชน์อะไร เธอจะต้องผอมลง เพราะถึงยังไงก็ยังมีบางคนที่คิดว่าเธออ้วนเกินไป น่าเกลียดมากอยู่
เธอไม่รู้ว่าพี่ชายจะคิดอย่างนี้หรือเปล่า แต่เธออยากสมบูรณ์แบบขึ้นอีกสักหน่อย
“สรุปแล้วฉันจะพยายามลดความอ้วนนั่นแหละ”
จากนั้นหอพักของทั้งสี่คน ถางหยวนหยวนก็เป็นคนที่ตื่นเช้าสุด เมิ่งเข่อเฟยถึงแม้ว่าจะไปห้องสมุด ก็ต้องรอเวลากว่าจะไปได้ ทุกครั้งตอนที่เธอตื่น ก็ไม่เห็นถางหยวนหยวนที่นอนอยู่ชั้นล่างของเธอแม้แต่เงาแล้ว
จนตอนที่พวกเธอล้างหน้าแปรงฟันกันเสร็จ ถางหยวนหยวนก็ได้กลับมาด้วยสภาพเหงื่อเต็มตัวเสียแล้ว หลังจากนั้นก็เหนื่อยจนดื่มน้ำไปหลายแก้ว แล้วเข้าห้องอาบน้ำไปอีกที
จางเสี่ยวลู่กับหยวนเย่าหันต่างก็มีสีหน้าเหยียดหยามกันออกมา
“ยัยอ้วนนี่คงจะไม่ได้คิดว่าตัวเองจะลดลงได้หรอกมั้ง?”
“เป็นไปไม่ได้ อย่างมากหล่อนก็คงจะทนไปได้อีกไม่กี่วัน ปกติก็กินจนเป็นนิสัยไปแล้ว คิดจะเลิกก็เลิกกันได้ที่ไหนกัน? รอดูไปเถอะ”
พูดจบ ทั้งสองคนก็สบสายตาเข้ากับเมิ่งเข่อเฟยพอดี แต่พวกเธอรู้ว่าเมิ่งเข่อเฟยจะไม่ปากโป้ง ก็เลยไม่ได้กลัวอะไรเธอ จึงทำเพียงแค่มองดูถูกเธอแล้วออกจากหอไป
เมิ่งเข่อเฟยจัดเก็บข้าวของของตัวเอง จากนั้นก็ไปเคาะประตูห้องน้ำ
“หยวนหยวน ฉันลงไปก่อนนะ เธออย่าสายล่ะ”
“โอเค”
หลังจากนั้นอีกหลายวัน ถางหยวนหยวนตื่นเช้าทุกวัน ออกไปวิ่งที่สนาม ฟ้ายังไม่ทันสว่างเธอก็เริ่มวิ่งแล้ว วิ่งจนฟ้าสว่างจ้าออกมา
ตอนแรกเธอคิดว่าจะมีแค่ตัวเองที่จะมาวิ่งอย่างนี้ แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างที่วิ่งจะยังเจอกับอีกหลายคนเลยทีเดียว
มีผู้หญิงที่อ้วนเหมือนกับเธอ บางคนก็มาออกกำลังกายกัน
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป คนที่ทักทายกันที่บอกว่าอยากลดความอ้วนพวกนั้นเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ที่สนามเหลือเพียงแค่ถางหยวนหยวนแค่คนเดียว
ถางหยวนหยวนเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาทันที
ที่แท้ในหนทางแห่งความพยายามนั้น ไม่ใช่ว่าจะมีคนอยู่ร่วมกับเธอไปตลอด อยากจะพยายามไปถึงตอนสุดท้าย ก็ต้องพึ่งแต่ตัวเองเอาเท่านั้น
ถางหยวนหยวนไม่เพียงจะไม่ท้อแล้ว ยังมีความมุ่งมั่นมากขึ้นไปอีก
ช่วงเวลานี้เธอไม่ได้ไปเจอพี่ชายเลย ตอนที่จงฉู่เฟิงมาหาเธอ เธอก็ไม่ได้ไปเจอ เอาแต่ตั้งใจลดน้ำหนักอยู่ท่าเดียว
ยืนหยัดอย่างนี้ไปครึ่งเดือน น้ำหนักของถางหยวนหยวนก็ลดลงอีก จางเสี่ยวลู่กับหยวนเย่าหันที่ตอนแรกนึกว่าเธอจะทนไปได้แค่สองสามวัน ก็จะต้องยอมแพ้ไปเร็วๆแน่ นึกไม่ถึงว่าเธอจะทำมันมาได้ถึงครึ่งเดือน มองดูเผินๆก็ดูผอมลง ใบหน้ารูปไข่ที่จากเดิมนั้นดูอวบอิ่มก็ค่อยๆผอมลง ในใจของทั้งสองคนนั้นก็รู้สึกอิจฉากันขึ้นมา
ดังนั้นแล้วทั้งสองคนก็เลยไปหาเมิ่งเข่อเฟยกัน
“เข่อเฟย เธอสนิทกับหยวนหยวน นี่เธอถูกอะไรกระตุ้นมากัน ทำไมอยู่ดีๆถึงได้อยากลดความอ้วนขึ้นมาล่ะ?”
เมิ่งเข่อเฟยขมวดคิ้วสวย เดิมทีก็ไม่ได้อยากจะไปสนใจพวกหล่อน ครั้งที่แล้วทั้งสองคนให้คนมาตบตีเธอ ถ้าไม่ได้ถางหยวนหยวนพาเธอไปส่งโรงพยาบาล เกรงว่าอาการบาดเจ็บของเธอคงจะเกิดผลสืบเนื่องต่อมาแน่
“ใช่แล้วเข่อเฟย เมื่อก่อนหยวนหยวนไม่ใช่ว่าเห็นอาหารสำคัญที่สุดเลยหรือไง?”
“ฉันไม่รู้” เมิ่งเข่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าพวกเธออยากรู้ ก็ไปถามเธอเองไม่เร็วกว่าเหรอ”
“แก!” หยวนเย่าหันนึกไม่ถึงว่าเธอจะใช้เสียงแข็งออกมาอย่างนี้ เกิดความโกรธขึ้นมาชั่วขณะ
จางเสี่ยวลู่ยิ้มเย็นออกมา “ดูเหมือนว่าบทเรียนครั้งที่แล้วไม่ได้ทำให้แกเข็ดหลาบเลยสินะ พูดกับพวกเรายังกล้าใช้น้ำเสียงอย่างนี้อีก” คำพูดหลุดออกมา ทันทีที่เมิ่งเข่อเฟยเงยหน้าขึ้น จางเสี่ยวลู่ก็ได้สอดมือเข้าไปขยุ้มลงบนท้ายทอยเธอทันที ลุกขึ้นยืนเอาหัวของเธอกดลงไปบนโต๊ะ เมิ่งเข่อเฟยนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำออกมาโต้งๆอย่างนี้ รู้สึกเจ็บแก้มขึ้นมา เหมือนกับว่าถูกปลายปากกาแทงทะลุลงมา
ช่วงหนึ่ง เธอเจ็บจนเสียสติขึ้นมาเล็กน้อย
“พวกเธอปล่อยฉันนะ”
“ปล่อยแก?” จางเสี่ยวลู่เอ่ยออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อกี้แกกล้านักไม่ใช่หรือไง? แกก็กล้าต่อไปสิ กล้าให้พวกเราดูสิ”
เมิ่งเข่อเฟยขัดขืนออกมา จางเสี่ยวลู่จึงเอ่ยออกไปทันที “หยวนเย่าหัน ช่วยฉันกดมันเอาไว้หน่อย”
หยวนเย่าหันรีบก้าวเข้าไปดึงมือของเธอข้างนึงมาไขว้เอาไว้ข้างหลัง “อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นฉันจะหักแขนแกซะ”
เมิ่งเข่อเฟยทั้งเจ็บทั้งร้อนใจ “พวกเธอจะยังไงกันแน่? หรือว่าฉันพูดผิดไปหรือไง พวกเธออยากรู้ทำไมแค่ไปถามเธอเองไม่ใช่ว่าก็จบแล้วนี่ มันเกี่ยวอะไรกับฉันกัน?”
“เกี่ยวอะไรกับแก? พวกแกไม่ใช่เพื่อนสนิทกันหรือไง? ตอนที่แกใช้ความเป็นเพื่อนสนิทไปบ้านหล่อนทำไมไม่พูดว่าไม่เกี่ยวกับแกล่ะ? ตอนนี้พวกเราถามแกไม่กี่คำ แกก็มาบ้าอย่างนี้ออกมา”
เมิ่งเข่อเฟยร้อนรนจนน้ำตาไหลออกมา หน้าเธอเจ็บมาก บาดแผลบนร่างเมื่อก่อนก็ทีนึงแล้ว ครั้งนี้ถ้าเป็นแผลบนหน้า หลังจากนี้บนหน้าเธอจะหลงเหลือรอยแผลเป็นหรือเปล่า
“จะพูดไม่พูด? ถ้าไม่พูด พวกเราไม่รับประกันหรอกนะว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันพูด ฉันพูดแล้ว พวกเธอปล่อยฉันก่อน ฉันพูดแล้ว!” หยวนเย่าหันกับจางเสี่ยวลู่สบตากัน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยเธอไป มือของจางเสี่ยวลู่ตบลงไปบนแก้มของเมิ่งเข่อเฟยอย่างแรง “ช่างหน้าไม่อายเสียจริงๆเลยนะ ไม่สั่งสอนแกให้รู้สำนึกสักหน่อยแกก็ไม่รู้เลยสินะว่าใครมันเจ๋งกว่ากัน ปล่อยแกไปไม่ได้หรอก พูดออกมาก่อนฉันถึงจะปล่อยแกไป พูดสิ”
ภายในใจของเมิ่งเข่อเฟยรู้สึกเกลียดแค้นขึ้นมาไม่ไหวแล้ว กัดฟันเอ่ยออกไป “เธอคิดว่าตัวเองอ้วนขึ้นมาแล้วไม่สวย ก็เลยอยากลดความอ้วนให้ผอมลงสักหน่อย”
“เหตุผลล่ะ? มันจะต้องมีสักเหตุผลนึงสิ?”
“ก็แค่เท่านี้”
“แกคิดจะล้ออะไรพวกเราเล่นหรือไง? แค่เพื่อให้ดูดีขึ้นก็พยายามขนาดนี้เลย? แกคิดว่าตัวเองโง่หรือว่าเห็นพวกเราเป็นเด็กสามขวบกัน?”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเมิ่งเข่อเฟยหยดแล้วหยดเล่า ริมฝีปากล่างถูกกัดจนห้อเลือด “ฉันพูดความจริงทั้งนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอบอกฉันมาเหมือนกัน”