บทที่ 1640 ของขวัญวันเกิด
หลังจากได้ยินคำพูดนี้แล้ว ความคิดของถางหยวนหยวนกลับล่องลอยไปที่อื่นแล้ว
ถ้าสามารถมีความรักได้ในวัยเรียนมัธยมปลาย ถึงตอนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็เดินเข้างานแต่งงานในโบสถ์ ดูเหมือนว่าความคิดนี้จะไม่เลวเลย
แต่ว่าอายุเธอกับพี่ต่างกัน รอจนเธอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พี่ชายก็เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว!
แทบไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันได้ทุกวัน เมื่อคิดถึงตรงนี้ การแสดงออกเล็กๆน้อยๆของถางหยวนหยวนก็เปลี่ยนเป็นเศร้าขึ้นมา
น่าเสียดายจัง~
ส่วนหยวนเย่าหันนั้นยังคงโอบกอดถางหยวนหยวนเอาไว้ ความคิดนั้นเตลิดไปไกลมาก จนจินตนาการไปถึงอนาคตที่สวยงามแล้ว
“ไปเถอะไปเถอะ ไม่อยากเอาพี่ชายมาด้วยก็ได้ ถึงเวลากินของกินนิดหน่อย ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือฉันแล้ว วันเกิดของฉันนี่ จะให้มีแค่ไม่กี่เหรอ”
สุดท้ายแล้วถางหยวนหยวนได้แต่ตอบตกลง
“เอาละ ถึงตอนนั้นฉันจะไป”
“รักเธอจังหยวนหยวน” หยวนเย่าหันโอบกอดถางหยวนหยวนเอาไว้แน่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงเรียกเมิ่งเข่อเฟยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงชั้นสอง “เฟยเฟย ถึงตอนนั้นไปกับหยวนหยวนด้วยนะ พวกเธอสองคนไม่ไปร่วมงานไม่ได้นะ”
เมิ่งเข่อเฟยยังไม่ได้นอน ได้ยินเสียงเธอเรียกตนเอง ไม่อาจจะแกล้งตายได้อีก ได้แต่พูดว่า “ถึงตอนนั้นอาจจะต้องไปทำงานพิเศษ ถ้าเจ้านายอนุญาตให้ฉันลาได้ ฉันก็จะไป แต่ถ้าเจ้านายไม่อนุญาต อย่างนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วย”
“ก็ได้ ถึงตอนนั้นเธอก็ไปขอลากับเจ้านายเอาหน่อยแล้วกัน พูดเพราะๆสักสองสามประโยค เขาน่าจะให้เธอมานะ”
“อืม ฉันจะลองดูนะ”
จากนั้นในหอพักก็เข้าสู่ความเงียบงัน ไม่มีคนพูดอะไรอีกเลย
ทุกคนต่างเอาหอบเอาความคิดของตนเองเข้าสู่ความฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ถางหยวนหยวนอยากจะไปซื้อของขวัญให้หยวนเย่าหัน เพราะถึงอย่างไรก็ต้องไปร่วมงานวันเกิดของเธอ ไปมือเปล่าดูไม่ค่อยดี เดิมเธอคิดจะให้เมิ่งเข่อเฟยไปช่วยเลือกด้วยกัน แต่เมิ่งเข่อเฟยไปทำงานอีกไม่มีวิธีอื่นแล้ว ถางหยวนหยวนเลยต้องไปเอง
ผลก็คือพอเดินออกมาจากประตูโรงเรียนเธอก็เจอยู่ฉือยี่ซูอีก
มองเห็นเขา ถางหยวนหยวนทั้งดีใจทั้งแปลกใจ วิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“พี่ ทำไมพี่มาอีกล่ะ”
ตั้งแต่กลับมาคืนดีตั้งแต่ครั้งนั้น ยู่ฉือยี่ซูก็มาหาเธอบ่อยขึ้นมาก!
“มาอีกเหรอ” ยู่ฉือยี่ซูหรี่ตามอง “ทำไมเป็นคำว่าอีกล่ะ หรือว่าเธอไม่อยากให้พี่มาหาเธอเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน!”
ถางหยวนหยวนส่ายหน้า “ก็หมายความว่าพี่ชายมาหาหยวนหยวนทุกวัน จะทำให้เสียเวลาหรือเปล่า”
“ไม่หรอก อยู่เป็นเพื่อนเธอนั้นจะเสียเวลาได้ยังไง วันนี้อยากทำอะไรล่ะ”
ถึงแม้ว่าสองคนนั้นไม่เคยสารภาพรักกันมาก่อน และก็ไม่ได้พูดว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้การที่ได้ทำบางอย่างด้วยกัน ราวกับเป็นสิ่งที่ทำประจำวันของคู่รัก ยู่ฉือยี่ซูมักจะไปเป็นเพื่อนเธอทุกที่ อาจจะไปกินข้าวเหมือนปกติทุกวันด้วย เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สม่ำเสมอไม่เคยขาด
“อีกสองวันจะต้องไปงานวันเกิดเพื่อน ดังนั้นฉันเลยอยากจะไปซื้อของขวัญให้เธอ”
“วันเกิด เพื่อนคนไหน” ยู่ฉือยี่ซูเคยเจอเพื่อนร่วมห้องของถางหยวนหยวนมาแล้ว นอกจากเมิ่งเข่อเฟยแล้ว อีกสองคนจะมองยังไงก็เหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอย
“ก็คือเพื่อนร่วมห้องสองคนคนที่พี่เคยเจอครั้งที่แล้วไงคะ คนหนึ่งชื่อหยวนเย่าหัน อีกคนชื่อจางเสี่ยวลู่ใช่สิ พวกเธอสองคนต่างก็ชื่นชอบพี่”
ที่แท้ก็คือพวกเธอนั่นเอง ยู่ฉือยี่ซูนึกถึงเรื่องครั้งก่อนตอนกินข้าวที่มีหนึ่งคนในนั้นหายไป เม้มปาก จากนั้นก็จูงมือสาวน้อยเดินไปข้างหน้า
“ซื้อของขวัญก็ได้ แต่ว่าแค่ส่งให้พวกเธอเท่านั้นนะ งานวันเกิดไม่ต้องไป”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของถางหยวนหยวนก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจความหมาย
“ทำไมเหรอคะพี่”
สาวน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ ยู่ฉือยี่ซูก็อยากจะเก็บรักษาหัวใจอันใสซื่อของเธออันนั้นเอาไว้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดคำพูดเสียๆหายๆของสองคนนั้นต่อหน้าเธอ ได้แต่เพียงพูดเบาๆว่า “เธอไปร่วมงานเลี้ยง แล้วใครจะกินข้าวเป็นเพื่อนกับพี่ล่ะ”
ทันใดนั้น หลังจากถางหยวนหยวนได้ยินแล้วก็เผยให้เห็นสีหน้าสับสน
“ไม่มีใครกินข้าวเป็นเพื่อนพี่เหรอ”
“อืม ถ้าเธอไม่มา พี่ก็ได้แต่นั่งกินข้าวคนเดียวแล้ว”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้พี่…”
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ากินข้าวคนเดียวมาตลอดเหรอ ก็ไม่เห็นเขาบ่นอะไรเลย ทำไมวันนี้ถึงได้มีท่าทางแบบนี้
“เมื่อก่อนคือเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้ เหมือนกันเหรอ”
ยู่ฉือยี่ซูยื่นมือออกไปเคาะลงบนหน้าผากของเธอ “หรือจะพูดว่า เธอรู้สึกว่าวันเกิดของหล่อนอาจจะมีผู้ชายคนอื่นๆ เลยอยากจะไปเปิดหูเปิดตางั้นสิ”
ถางหยวนหยวนน้อยใจอย่างประหลาด เพราะว่าคำพูดเหล่านี้เมื่อคืนหยวนเย่าหันก็เพิ่งพูดกับเธอ แต่ว่าวันนี้พี่ก็พูดออกมาแบบนี้เหมือนว่าเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอย่างนั้น
“ทำไมพี่ถึงคิดแบบนี้ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย ไม่ไปแล้วไม่ไปแล้ว”
ถ้าไป พี่จะรู้สึกว่าเธอจงใจจะไปดูผู้ชายหนุ่มๆคนอื่น
“แต่ว่าพี่คะ เมื่อคืนฉันรับปากพวกเขาไปแล้ว ถึงเวลาไม่ไป เขาจะคิดว่าหยวนหยวนผิดคำพูดหรือเปล่า มันเกินไปไหม”
“ไม่หรอก”
ระหว่างคนสองคนที่กำลังคบหากัน ถึงแม้ว่าความเชื่อใจจะเป็นสิ่งอันวิเศษล้ำค่า แต่ว่าจิตใจสองคนนั้นคิดไม่ซื่อ สำหรับคนพวกนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะรู้สึกผิดต่อพวกเธอหรอก
แต่ถ้ายู่ฉือยี่ซูไม่พูดออกมา เกรงว่าถางหยวนหยวนก็จะเริ่มสับสนกับตัวเอง
“เธอก็บอกไปสิว่ามีเรื่องต้องไปจัดการกะทันหัน พูดกับเธอไปเลยว่าขอโทษด้วย จากนั้นก็เอาของขวัญให้ ความจริงใจก็มีให้ ถ้าหล่อนเอาความโกรธมาลงกับเธอเพราะเรื่องนี้…”
คำพูดตอนท้าย ยู่ฉือยี่ซูก็ไม่ได้พูดต่อแล้ว แม้ว่าถางหยวนหยวนจะใสซื่อ แต่ก็ไม่ได้ซื่อบื้อ ไม่นานก็เข้าใจความหมายของเขาได้ทันที
“รู้แล้วค่ะพี่ ถ้าอย่างนั้นไปเลือกของขวัญกันเถอะ ถึงตอนนี้ฉันค่อยพูดกับเธอให้ชัดเจนก็พอ”
“อืม”
ความจริงแล้ว ถางหยวนหยวนก็ไม่ค่อยเข้าใจหยวนเย่าหันสักเท่าไหร่ ควรจะพูดว่าไม่เข้าใจเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ยังก่อเรื่องวุ่นวายจนน่าอึดอัดใจ ส่วนเธอนั้นไม่เคยคิดจะไปรู้ความชอบของหยวนเย่าหัน
แต่ว่าการซื้อของขวัญนั้น การซื้อของขวัญให้กับเด็กผู้หญิงนั้นมีของบางอย่างตายตัวอยู่แล้ว มีของไม่กี่อย่าง ตั้งแต่เด็กถางหยวนหยวนก็ชอบใช้น้ำหอม อีกอย่างเธอชอบกลิ่นผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้เธอเลยคิดจะซื้อน้ำหอมให้หยวนเย่าหันก็พอแล้ว
เธอลากยู่ฉือยี่ซูไปดูน้ำหอมที่เคาน์เตอร์น้ำหอม พี่สาวพนักงานหน้าเคาน์เตอร์คิดว่าสาวน้อยซื้อให้ตนเอง ถางหยวนหยวนขึงพูดออกไปตรงๆว่า “ฉันอยากจะซื้อให้เพื่อนของฉัน กลิ่นไหนเหมาะที่จะส่งให้คนอื่นคะ”
“ถ้าส่งให้คนอื่น ก็ต้องรู้รสนิยมของหล่อน ว่าเธอชอบแบบเข้มข้นเล็กน้อย หรือว่าชอบกลิ่นอ่อนละมุนสักหน่อย”
ถางหยวนหยวนหวนคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่มีความทรงจำอะไรอยู่เลย ได้แต่ส่ายหน้า
“ฉันไม่แน่ใจ”
“เอาแบบนี้ ในเมื่อคุณก็ไม่มั่นใจ เช่นนั้นก็ซื้อกลิ่นที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็ไม่ได้อ่อนจนเกินไปดีไหมคะ”
แบบนี้ฟังดูแล้วก็เข้าท่าดี ถางหยวนหยวนพยักหน้า “ได้ค่ะ ถึงเวลาช่วยฉันห่อของขวัญให้สวยหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากเขียนข้อความอวยพรวันเกิด คุณมีการ์ดมั้ยคะ”
“มีเตรียมไว้หมดแล้ว คุณคิดว่าจะให้ทางเราช่วยเขียนแทนคุณ หรือว่าจะเขียนเองด้วยลายมือตัวเองคะ”
ถางหยวนหยวนพูดทันทีว่า “ฉันเขียนเอง”
ส่งของขวัญให้คนอื่นนี่ ก็ต้องจริงใจหน่อย เธอไม่มีเวลามานั่งทำเอง การเขียนการ์ดอวยพรคงไม่ให้คนอื่นเขียนแทนด้วยนะ
ยู่ฉือยี่ซูยืนอยู่ด้านข้างพร้อมทั้งจ้องมองสาวน้อยที่ตั้งใจเขียนการ์ดอวยพรอย่างจริงจัง ถอนหายใจอยู่ในใจ เธอที่ใสซื่อเกินไป คงไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว
แต่ไม่อาจบีบบังคับได้ อารมณ์ความรู้สึกบางอย่างจำเป็นต้องให้ตนเองได้ผ่านประสบการณ์นั้นมา ถึงได้เข้าใจ จากนั้นก็จะเติบโตขึ้น