บทที่ 193 ให้ผมปกป้องคุณ
“ได้สั่งทำไปแล้ว คุณไม่เอาแล้วจะเอาไปให้ใคร? รับไว้ด้วย”
หลังฟังข้อความเสียงจบ เสิ่นเฉียวอึ้งไปทั้งตัว คำพูดของประธานหานหมายความว่าไง……..กระโปรงตัวนั้นตัดตามไซส์ของเธองั้นเหรอ? หากเธอไม่รับไว้ ก็ให้คนอื่นไม่ได้?
กลัวว่าตัวเองจะเข้าใจผิด เสิ่นเฉียวก็ได้ถามฝ่ายตรงข้ามไปว่าทำไมถึงเรื่องรู้ขนาดสัดส่วนของเธอ ถามจบแล้วเสิ่นเฉียวรู้สึกอายเล็กน้อย ก็เลยจะพิมพ์ข้อความ แต่ยังไม่ทันส่งออกหานชิงก็ตอบกลับมาแล้ว
“เรื่องขนาดหากผมอยากรู้ก็มีวิธี หากคุณไม่มีเวลาผมจะให้ซูจิ่วเอาไปให้”
ให้ซูจิ่วเอามา? งั้นก็จะกลายเป็นจุดสนใจละสิ? เสิ่นเฉียวเริ่มตอบกลับ: “อย่าค่ะ พรุ่งนี้ฉันไปเอากับซูจิ่วที่บริษัทคุณละกัน”
หลังจากทั้งสองตกลงตามที่ต้องการแล้ว หานชิงก็ไม่ได้ตอบข้อความเธออีกเลย เสิ่นเฉียวหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นวางมือถือลงไป
หลังจากที่ลุกขึ้นออกไป สาวใช้เสี่ยวหยู่ได้ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว
“คุณนายน้อยสอง ไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร จึงได้ทำตั้งหลายอย่าง คุณดูก่อนว่าชอบหรือไม่…………”
เสิ่นเฉียวนอกจากของหวานเลี่ยนแล้ว อย่างอื่นไม่ได้เรื่องมากเท่าไหร่ มองแล้วยิ้มไปทางเธอ: “ชอบจ้า ลำบากเธอแล้วนะ”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ คุณนายน้อยสองชอบก็ดีแล้วค่ะ”
เสิ่นเฉียวนั่งลงทานข้าว คิดไปครู่หนึ่ง: “พวกเย่โม่เซินออกไปหมดแล้วเหรอ?”
เสี่ยวหยู่พยักหน้ารับ: “อืม คุณชายเย่และผู้ช่วยเซียวออกไปแต่เช้าแล้วค่ะ”
เสิ่นเฉียวคิดในใจ พวกเขาน่าจะไปบริษัท ทานเสร็จแล้วก็จะออกไป
หลังจากที่เธอเตรียมตัวเรียบร้อยไปถึงบริษัท ไม่คิดว่าในแผนกจะวุ่นวายขนาดนี้
สวี่เลี่ยวโดนบริษัทไล่ออกโดยตรง ถึงแม้ทุกคนจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็ยังคงสนทนากันอย่างไม่หยุด
“เรื่องมันยังไงกันแน่? เขาเป็นหัวหน้าของบริษัทมาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไม่อยู่ดีๆถึงโดนไล่ออกละ?”
“เช้อ น่าจะล่วงเกินใครหรือเปล่า หรือว่าอาจจะทำอะไรผิดไป จากที่ฉันมองนะ ก็คือนิสัยบ้ากามไม่เปลี่ยน น่าจะไปแตะต้องคนที่ไม่สมควรจะแตะ ครั้งนี้ …… ในที่สุดเรือก็ล่มในรางน้ำ”
“ถ้าให้ฉันพูดนะ สมน้ำหน้าวะ ใครให้เขาบ้ากามขนาดนั้น ทั้งๆที่เป็นไอ้แก่ที่แต่งงานแล้ว หน้าไม่อายจริงๆ”
“ก็ควรสมน้ำหน้าอยู่ แต่ว่าก็………..น่าสังเวชอยู่นะ ที่บ้านยังมีลูกมีเมีย ถูกไล่ออกแบบนี้ ต่อไปนี้จะเอาอะไรเลี้ยงครอบครัวละ?”
“ผู้ชายทั้งคนยังจะกังวลเลี้ยงครอบครัวไม่ไหวเหรอ? งั้นก็ต้องเป็นตัวไร้ประโยชน์อะไรดีละ?”
“แกไม่เข้าใจหรอก! ถูกบริษัทตระกูลเย่ไล่ออกมันหมายความว่าไงแกรู้มั้ย? บริษัทตระกูลเย่อยู่ในเมืองเป่ยถือเป็นบริษัทอันดับหนึ่ง เขาถูกบริษัทอันดับหนึ่งไล่ออก มีประวัติแบบนี้บริษัทไหนจะกล้ารับเขาเข้าทำงานอีก?”
“อ๋า? งั้น…..ต่อไปหางานก็ยากมากล่ะสิ? งั้นก็น่าสังเวชอยู่นะ”
คำพูดเหล่านี้ได้เข้าไปในหูของเสิ่นเฉียวทั้งหมด เธอพลางเดินไปแล้วก็ฟังไป จนกระทั่งถึงหน้าโต๊ะทำงานตัวเองจึงนั่งลง
เพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน แล้วก็ได้ยินคนข้างๆถามเธอขึ้นมา
“เสี่ยวเสิ่น เธอทำไมยังอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
“อ๋า?” เสิ่นเฉียวได้ยินคนเรียกตัวเธอ ก็ได้หันกลับไปโดยสัญชาตญาณ
คนคนนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกอย่างบนใบหน้าจนจะรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่แล้ว “เธอได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนะ”
ได้ยินดังนี้ เสิ่นเฉียวชะงัก
“เลื่อนตำแหน่ง?”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่? เขาทำไม………..จึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย?
“ใช่จ้า รองประธานเย่แต่งตั้งให้เธอเป็นเลขาของเขา เธอไม่รู้เรื่องเหรอ?”
เสิ่นเฉียว: “……….มันเรื่องอะไรกัน?”
รองประธานแต่งตั้งเธอเป็นเลขา? ไม่ใช่เย่หลิ่นหานหรอกเหรอ? อยู่ดีๆ เขาทำไมถึงต้องมายุ่งเรื่องงานเธอกะทันหันแบบนี้? ทั้งๆที่เมื่อคืน…….
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวเม้มปาก สีหน้าดูแย่มาก
“อิจฉาเธอจังเลย ก่อนหน้านี้เธอเป็นผู้ช่วยของคุณชายเย่ ตอนนี้ก็ได้ไปเป็นเลขาของประธานเย่ ทำไมวาสนาถึงดีเพียงนี้?”
“ตอนที่เธอมาแผนกของเรา พวกเราไม่มีใครรังแกเธอใช่ป่ะ? เธออยากไปร้องเรียนพวกเราต่อหน้ารองประธานเลยนะ”
เสิ่นเฉียวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกๆ หากแม้ว่าเย่หลิ่นหานรู้สึกดีกับเธอจริง แต่เมื่อก่อนก็ไม่เคยยุ่งเรื่องงานของเธอนี่นา ตอนนี้ทำไม………ถึงจัดเธอไปเป็นเลขาอยู่ข้างกายเขา?
คิดไปคิดมา เสิ่นเฉียวรีบลุกขึ้นเก็บข้าวของ ไปหาเย่หลิ่นหานโดยตรง
ตอนที่เธอถึงหน้าห้องทำงานเย่หลิ่นหานนั้น พอดีเจอกับผู้ช่วยเขาที่เดินออกมา เห็นเธอแล้วก็ยิ้มออกมา: “เป็นเธอเหรอ เธอมารายงานตัวแล้วใช่มั้ย?”
ใบหน้าเสิ่นเฉียวไร้รอยยิ้ม สายตาก็จริงจังมาก ผู้ช่วยอึ้งไปทันที แล้วพูดว่า รองประธานเย่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เธอรอสักครู่?
เสิ่นเฉียวมีกะจิตกะใจรอที่ไหนกัน? เธอต้องการคุยกับเย่หลิ่นหานให้ชัดเจน
ก็เลยเดินไปข้างหน้าโดยตรง ผู้ช่วยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบไปขวางเธอไว้
“ตอนนี้เธอยังเข้าไปไม่ได้ รองประธานเย่เธอ………..”
“แยจื่อ ให้เธอเข้ามา”
ผู้ช่วยของเย่หลิ่นหานแซ่แย ชื่อแยซิงซิง ตั้งแต่เด็กก็มีคนเรียกเธอแยจื่อมาตลอด ดังนั้นมาทำงานที่นี่ทุกคนก็เรียกเธอว่าแยจื่อ เรียกจนชินแล้ว
แยจื่ออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้ารับ: “งั้นก็ได้ค่ะ เธอเข้าไปได้แล้ว”
เสิ่นเฉียวเม้มปาก จากนั้นก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องทำงาน
เย่หลิ่นหานนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน กำลังสนทนากับปลายสายไม่กี่ประโยค จากนั้นก็วางสาย
หลังจากวางสาย เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเสิ่นเฉียว
“เธอรู้แล้ว? ของเอามาหมดหรือยัง? เดี๋ยวพี่ให้แยจื่อพาเธอไปดูห้องทำงานหรือ……เธอจะทำงานที่ห้องเดียวกับพี่ก็ได้….”
“พี่ใหญ่”
จู่ๆเสิ่นเฉียวก็ขัดจังหวะพูดของเขา บนใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามกลับไม่มีรอยยิ้มใดๆ
“พี่ทำไมต้องย้ายตำแหน่งของฉัน?”
“ย้ายตำแหน่งให้เธอ…….ไม่ดีเหรอ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หลิ่นหานจางไปเล็กน้อย เสียงก็เรียบเฉย: “คนอย่างสวี่เลี่ยวเธอก็ได้เห็นแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ในภายหลัง ดังนั้นพี่จึงต้องย้ายเธอมาอยู่ข้างกายพี่ ไม่ให้เธอได้รับอันตราย”
“………”ในใจของเสิ่นเฉียวเต้นตุ๊บตั๊บ มีความรู้สึกไม่ดีค่อยๆเกิดขึ้นในใจ
เธอไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้ กลัวว่าตัวเองจะคิดมากเกินไป
เย่หลิ่นหานเดินมาข้างหน้าเข้าใกล้เธอ “เฉียวเฉียว อย่างเรื่องเมื่อคืน พี่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง”
ได้ยินเขาเรียกตัวเองว่าเฉียวเฉียว เดิมทีดวงตาที่ไร้ความรู้สึกของเสิ่นเฉียวปรากฏความประหลาดใจขึ้นมา เธอเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พี่ใหญ่พี่………”
“ที่จริงฐานะของเธอตั้งแต่ที่เธอเข้ามาบ้านตระกูลเย่พี่ก็รู้แล้ว” เย่หลิ่นหานยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือไปลูบหัวเธอเบาๆ: “ที่พี่ไม่ได้เปิดเผยเป็นเพราะเธอคือลูกสาวบ้านตระกูลเสิ่น และในวันแต่งงาน หากเปิดเผยก็จะทำให้ขายหน้าทั้งสองตระกูล แต่ตอนนี้………พี่กลับรู้สึกว่าวันนั้นพี่น่าจะเปิดเผยฐานะของเธอ อย่างน้อยแบบนี้ เธอก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานที่บ้านตระกูลเย่ และไม่ต้องทนฝืนเป็นภรรยาของเย่โม่เซิน”
คำพูดเหล่านี้มีความหมายแฝงอยู่หลายอย่าง เสิ่นเฉียวตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว ทันใดนั้นเย่หลิ่นหานก็ได้ยื่นมือไปโอบไหล่เธอไว้
“เฉียวเฉียว พี่ใหญ่เสียใจจริงๆ เสียใจที่วันนั้นไม่ได้เปิดเผยเรื่องของพวกเธอ แต่…….ตอนนี้ก็ยังไม่สาย โม่เซิน เขาไม่ยอมปกป้องเธอ งั้นพี่ใหญ่ก็จะปกป้องเธอเอง ดีมั้ย?”