บทที่ 197 คุณไม่มีสิทธิ์ในการปฏิเสธ
เสิ่นเฉียวคิดแล้วคิด เงยหน้ามองไปที่เย่โม่เซิน: “คุณอย่าไปเชื่อเขา สิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริง เขาแค่ต้องการกอบกู้บริษัทของเขาเท่านั้น!”
“ได้สิ” เย่โม่เซินยกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูด: “งั้นคุณลองพูดมา เธอทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อผม”
ได้ยินแบบนี้แล้ว เสิ่นเฉียวใจเย็นวาบเล็กน้อย หรือว่าเย่โม่เซิน……….จะเชื่อเขาง่ายๆแบบนี้เหรอ?
แววตาของหลินเจียงได้ใจไม่น้อย กลับไม่ได้สังเกตดวงตาที่เย็นชาและกระหายเลือดของเย่โม่เซิน พูดอย่างดีใจ: “ครั้งก่อนผมพาภรรยาผมไปตรวจที่โรงพยาบาล พบว่าเสิ่นเฉียวก็ไปโรงพยาบาลเหมือนกัน แล้วผมก็ไปคุยกับเธอ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งออกมาคุยกับเธอ และท่าทางของพวกเขาดูใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก ดูแล้วเหมือนจะอยู่ด้วยกันแล้ว ประธานเย่ ผู้หญิงคนนี้ตอนที่อยู่กับผมมีทำตัวมักมากในกามมีชู้ในขนาดที่แต่งงานแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าคุณนั่งอยู่บนรถเข็นไม่มีความสามารถด้านนั้น เธอก็ออกไปข้างนอกให้ท่าผู้ชายสวมเขาให้คุณ!”
หลินเจียงพูดอย่างได้ใจ พูดราวกับว่าได้เจอกับต้นฟางที่ช่วยชีวิตให้รอดได้ สายตาที่แฝงด้วยแสงชั่วร้าย ไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่เขาพูดจบแล้วนั้น ลมหายใจของเย่โม่เซินก็เย็นลงทันที ใช้สายตาที่คมกริบจ้องมองเขา
“ประธานเย่ สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งนั้น เสิ่นเฉียวเป็นผู้หญิงที่เจ้าชู้ เธอหน้าไม่อาย!”
เสิ่นเฉียวที่ยืนอยู่ข้างๆ: “……….”
เธอตกตะลึงจนอึ้ง
เธอนึกว่าหลินเจียงจะพูดเรื่องที่พวกเขาไม่เคยนอนด้วยกัน ไม่เคยคิดว่าเขาจะใส่ร้ายเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่รักตัวเองมักมากในกาม
ในขณะที่โกรธ เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองช่างตาบอดเสียจริง ถึงได้ชอบผู้ชายแบบนี้ ความรู้สึกดีๆที่หายไปตั้งนานแล้วตอนนี้ได้แปลเปลี่ยนไปเป็นติดลบจากนั้นก็ขยะแขยงขึ้นเรื่อยๆ และก็ทำให้เสิ่นเฉียวโล่งอกทันที
เธอแค่กลัวเย่โม่เซินจะสงสัยเรื่องลูกในท้อง
ใช่เหรอ? เย่โม่เซินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มแฝงด้วยความร้ายกาจ เธอจ้องมองที่เสิ่นเฉียว: เธอเป็นผู้หญิงที่มีชู้จริงเหรอ?
หลินเจียงพยักหน้า: “ใช่ครับประธานเย่ เธอเป็นคนที่เจ้าชู้ ไม่งั้นผมทำไมถึงไม่เอาเธอล่ะ?
“อ้อ ดังนั้นความหมายของคุณคือ……ภรรยาของเย่โม่เซินเป็นคนเจ้าชู้?”
หลินเจียงพยักหน้าต่อ: “ใช่ เป็นแบบนี้แหละ…………”
พูดถึงตรงนี้ หลินเจียงก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ไม่ใช่ไม่ใช่ประธานเย่ ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ความหมายของผมคือไม่อยากให้คุณโดนหลอก! เสิ่นเฉียวเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี ประธานเย่น่าจะทิ้งผู้หญิงคนนี้ หาคนที่ดีกว่า”
“เมื่อกี้คุณยังว่าผม……..ไม่สามารถ? เย่โม่เซินทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาอธิบาย
หลินเจียงสีหน้าเปลี่ยนทันที: “ประธานเย่ผม…………”
“คุณมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้ามาบอกว่าคุณชายเย่ไร้สมรรถภาพต่อหน้าเขา ผมดูคุณเหมือนไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว?”
เสิ่นเฉียวที่อยู่ข้างๆไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ ยังคงยืนเอ๋ออยู่ที่เดิม มองเย่โม่เซินอย่างไม่เข้าใจแวบหนึ่ง
“ประธานเย่ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมแค่………แค่………”
“คุณพูดเอง ไม่ใช่เหรอ?” เย่โม่เซินยิ้มอย่างกระหายเลือด: “ที่แท้คุณตั้งใจมาที่นี่เพื่อจะบอกผมเรื่องนี้เองเหรอ? ไม่เห็นจะมีความหมายอะไรเลย เซียวซู่”
“ครับ!” เซียวซู่เดินไปด้านหน้าของหลินเจียง: รีบไสหัวไปเลย ประธานเย่ของเราไม่อยากเห็นหน้าคุณ อีกอย่างบริษัทของคุณก็ไม่มีวันจะได้เกิดใหม่แน่นอน ต่อไปนี้หากประธานเย่ยังเห็นว่าคุณยังมาตอแยคุณนายน้อยสองอีก มันคงจะไม่ได้จากไปง่ายๆแบบนี้แน่”
หลินเจียงไม่ยอม ยังอยากขอร้องต่อ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นก็เห็นออร่าเย็นเยือกกระจายทั่วร่างของเย่โม่เซิน รอบกายเหมือนปกคลุมด้วยหมอกดำ เขาไม่กล้าพูดมากอีก ได้แต่พยักหน้า จากนั้นลุกขึ้นจากไปอย่างไว
รอจนกว่าเขาจากไป เสิ่นเฉียวยังคงยืนอยู่ที่เดิม เย่โม่เซินพูดเสียงดุ: “ยังไม่รีบมาทางนี้อีก”
ได้ยินแบบนี้ เสิ่นเฉียวตระหนักแล้วมองเขา: “คุณ………”
ทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมแบบนี้? หรือว่าเขาไม่ได้เชื่อคำพูดของหลินเจียง?
“ไม่มานี่ คืออยากจะไปกับเขาเหรอ?” เสียงของเย่โม่เซินเย็นลงมา เสิ่นเฉียวตอนสนอง รีบก้าวเดินมาอย่างเร็ว เซียวซู่รู้ตัวยืนไปข้างๆ ให้เธอมาเข็นรถให้เขา
“ผู้ชายคนนี้ก็คือคนที่เธอสู้สุดชีวิตเพื่อจะเก็บลูกของเขาไว้ เพื่อนอนาคตของตัวเองแล้วมาใส่ร้ายเธอ เสิ่นเฉียว สายตาเธอมันช่างแย่เสียงจริง”
เสิ่นเฉียว: “…………..”
เธอยิ้มอย่างขมขื่น: “คุณเรียกฉันมาเพื่อซ้ำเติมเหรอ?”
“คุณยังน้อยใจเป็นด้วย?” เย่โม่เซินหัวเราะอย่างเย็นชา สายตามืดมนเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณแบบนี้ คุณยังจะเก็บลูกของเขาไว้ทำไม?
เสิ่นเฉียว คุณไม่เอ่ยถึงเรื่องลูกได้ไหม? เด็กผู้บริสุทธิ์!”
“ผู้บริสุทธิ์? เย่โม่เซินให้เสิ่นเฉียวหยุดเข็น เสิ่นเฉียวไม่เข้าใจดังนั้นจึงหยุดอยู่ที่เดิม เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วคุณละก็เป็นผู้บริสุทธิ์? เย่หลิ่นหานย้ายตำแหน่งให้คุณผมรู้แล้ว”
ได้ยินแบบนี้ มือที่ขยับของเสิ่นเฉียวหยุดชะงักทันที เธอมองไปที่ท้ายทอยของเย่โม่เซิน: “แล้วมันยังไง? ไม่ใช่ฉันให้เขาทำแบบนั้นสักหน่อย”
“ยัยผู้หญิงแต่งงานรอบสอง ไม่พูดไม่ได้แล้วว่าเธอก็เก่งใช่ย่อยนะ แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังตกอยู่ในกำมือเธอ”
เสิ่นเฉียวยืนนิ่งไม่ขยับ และไม่อยากที่จะเข็นเขาแล้ว
“เข็นต่อ” เย่โม่เซินพูดด้วยเสียงที่เย็นเฉียบ: “ต่อไปนี้เข้างานหรือเลิกงานคุณก็ต้องมาพร้อมผม”
เสิ่นเฉียวเบิ่งตากว้าง: “อะไรนะ? พร้อมคุณ? คุณคงจะไม่ใช่ว่าจะให้ฉันเข้างานพร้อมคุณนะ?”
“มีปัญหาอะไรเหรอ? พวกเราเป็นสามีภรรยาอยู่แล้ว เข้างานเลิกงานพร้อมกัน มีอะไรมั้ย?”
“มีแน่นอน เราไม่ได้อยู่แผนกเดียวกัน เมื่อก่อนฉันก็ขึ้นรถเมล์มาทำงานเอง เราก็ทำเหมือนที่ผ่านมากละกัน”
“เห่อ” เย่โม่เซินมองเธอด้วยหางตา: “คุณคิดว่าฉันจะให้โอกาสคุณหลอกล่อพี่ใหญ่งั้นเหรอ? เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ คุณกลับมาทำงานที่ห้องทำงานของผม”
“คุณพูดอะไรนะ?” เสิ่นเฉียวเบิ่งตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ให้ฉันกลับไปทำงาน?
“เธอก็กลับมาเป็นผู้ช่วยเหมือนเดิม”
เสิ่นเฉียวจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หัวเราะเยาะออกมา: “เย่โม่เซินคุณคงรู้สึกสนุกมากที่ได้แกล้งฉันใช่ไหม? คุณบอกว่าย้ายตำแหน่งก็ต้องย้าย ฉันจะบอกคุณให้ ตอนนี้ฉันอยู่แผนกนี้ก็ดีอยู่แล้ว ตำแหน่งของพวกคุณสองพี่น้อง ฉันไม่ไปทั้งนั้น!”
พูดจบก็หันหลังเดินไป ไม่คิดว่าเย่โม่เซินจะคว้าข้อมือเธอไว้: “ที่ของเย่หลิ่นหานคุณไม่ไปก็ได้ แต่ที่ของผมคุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ขึ้นรถ”
ฉันไม่ขึ้น เสิ่นเฉียวใช้แรงดิ้น พยายามจะดึงมือตัวเองกลับมา แต่ว่าแรงของเย่โม่เซินเยอะเกินไป มือของเขาเหมือนคีมหนีบมือเธอไว้อย่างแน่นหนา ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
เสิ่นเฉียวหน้าแดงด้วยความโกรธ: “เย่โม่เซิน คุณปล่อยฉัน ฉันถึงไม่อยากจะตอบพวกคุณ หรือว่าฉันอยากจะอยู่ตรงไหนฉันก็ไม่มีสิทธิ์เลือกเองเหรอ?”
“ตั้งแต่เธอแต่งงานเข้าบ้านตระกูลเย่เป็นต้นมา ชาตินี้ชีวิตคุณก็ถูกกำหนดมาให้ฟังผมคนเดียว” เย่โม่เซินใช้แรงดึง เสิ่นเฉียวก็ตกลงไปในอ้อมแขนของเขา เย่โม่เซินก็ใช้มืออีกข้างโอบรอบเอวของเธอไว้
พวกเขายังอยู่หน้าบริษัท ภาพนี้ถูกพนักงานในบริษัทเห็นเข้าแล้ว
เสิ่นเฉียวตกใจมาก ใช้แรงผลักเขา: “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
เธอผลักอีก เชื่อมั้ยว่าผมจะจูบคุณตรงนี้?