บทที่ 200 ปกป้องเธอทั้งภพทั้งชาติ
ครึ่งคืนที่เหลือ เสิ่นเฉียวไม่ได้นอน ยังคงรอเขา
รอเย่โม่เซินกลับมา
ความจริงก็บอกว่า เธอได้รอเก้อ เพราะเวลาประมาณตีห้าหกโมงแล้วเย่โม่เซินก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมา เขายังคงนอนอยู่ในท่าเดิม โดยไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
ผ่านไปอีกสักพัก เสิ่นเฉียวราวกับว่ายอมรับชะตากรรม ค่อยๆลุกจากเตียง แล้วเดินไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนออกมาสวมให้ตัวเองอย่างด้านชา แล้วหันหลังกลับไปยังเตียงของตนเอง โน้มตัวลงนอน
เธอทำราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง โน้มตัวลงก็หลับตาลงทันที ในไม่ช้าก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
ช่างเขาจะไปหาผู้หญิงคนไหน ในเมื่อมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอ
นอนหลับจนถึงวันรุ่งขึ้น แต่เพิ่งนอนไปแค่สองสามชั่วโมงเสิ่นเฉียวรู้สึกปวดหัวจนระเบิด ขณะที่ตื่นนอนเธอพยุงหัวเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงไปยังชั้นล่าง
ตอนที่รับประทานอาหารเช้าเย่หลิ่นหานสังเกตเห็นหน้าเธอขาวซีด ได้ถามอย่างห่วงใย: “ทำไมสีหน้าดูแย่จัง? เมื่อคืนหลับไม่ดีทั้งคืนเหรอ?”
คำถามของเย่หลิ่นหานทำให้เสิ่นเฉียวอึ้งไปชั่วขณะ แล้วส่ายหัว: “ฉันไม่เป็นไร”
วันนี้คุณปู่เย่ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย เย่หลิ่นหานคุยกับเธออย่างไม่ต้องหลบหลีก
ได้ยินมาว่าเย่โม่เซินออกไปกลางดึก ถึงตอนนี้แล้วยังไม่ได้กลับมา
เสิ่นเฉียวที่กำลังจะดื่มนม เพิ่งจะยกแก้วนมขึ้นมาก็ได้ยินประโยคนี้ มือได้หยู่ชะงักทันที นมเกือบจะหกออกมา เธอวางแก้วนมลง หยิบซูชิขึ้นมาหนึ่งชิ้น
“ได้ยินว่าเย่โม่เซินกำลังตามหาคน?”
เสิ่นเฉียวเพิ่งจะอ้าปากกินซูชิเข้าไปในปาก ได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี อาหารที่อยู่ในปากราวกับกำลังเคี้ยวขี้ผึ้ง เธอไม่ได้ต่อคำพูดของเย่หลิ่นหาน แต่เย่หลิ่นหานกลับพูดต่อไป
“เธอรู้ไหมทำไมเขากำลังหาใครอยู่?”
เสิ่นเฉียวดื่มนมไปหนึ่งคำ: “ส่ายหัว ฉันไม่รู้ ฉันอิ่มแล้ว ฉันไปก่อนละพี่ใหญ่”
พูดจบเสิ่นเฉียวก็ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก ฝีเท้าของเธอค่อนข้างเร็ว ราวกับว่ากระโดดหนี
เดินไปสักพัก เย่หลิ่นหานก็ตามเธอทัน “พี่ก็กำลังจะไปบริษัท พี่ส่งเธอไปนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เสิ่นเฉียวไม่ได้หันกลับมา เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว
ทันใดนั้นมือก็ถูกคนจับไว้ เสิ่นเฉียวตกใจจนหันหน้ากลับไป เห็นเย่หลิ่นหานจับข้อมือเธอไว้ “เฉียวเฉียว พี่ส่งเธอไปบริษัทนะ”
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว อยากที่จะดิ้นให้หลุดจากมือของเขา แต่เย่หลิ่นหานจับได้แน่นมาก: “รอพี่อยู่ตรงนี้ ห้ามหนีเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?”
เสิ่นเฉียว: “………..พี่ใหญ่ ฉัน……………”
พี่ไปขับรถ
เย่หลิ่นหานไปขับรถแล้ว เดิมทีเสิ่นเฉียวคิดจะจากไป แต่นึกถึงคำพูดประโยคที่น่ากลัวนั้น เธอจึงได้ยืนรอตรงจุดเดิม
ผ่านไปสักพัก เย่หลิ่นหานได้ขับรถมาจอดยังด้านหน้าของเธอ เพื่อให้เธอขึ้นรถ
เสิ่นเฉียวจึงได้ขึ้นรถไป ตอนที่เย่หลิ่นหานโน้มตัวมาช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเสิ่นเฉียวพูดอย่างรีบร้อน: “ฉันทำเองได้”
“พี่ทำให้” เย่หลิ่นหานกดทับมือเธอไว้ จะโน้มตัวมาคาดให้เธอจงได้ กลิ่นกายของผู้ชายปกคลุมเธอไปทั่วร่าง คาดเข็มขัดนิรภัยง่ายมาก แต่เหมือนเย่หลิ่นหานจงใจที่จะทำอย่างชักช้า ไอเย็นน้อยๆได้กระจายบนหน้าของเธอ
เสิ่นเฉียวรู้สึกอึดอัด หดร่างกายโดยไม่รู้ตัว หัวก็เอนไปข้างหลังเล็กน้อย เพื่อให้ห่างจากเขาเล็กน้อย
เสียงของเย่หลิ่นหานค่อยๆดังขึ้น
“เธอก็รีบร้อนที่อยากจะออกห่างพี่หรือเกิน?”
ได้ยินแบบนี้แล้ว เสิ่นเฉียวเหมือนไม่ได้หายใจ เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ชนเข้าไปในดวงตาที่เย็นชาของเย่หลิ่นหานโดยตรง “พี่………..”
“ที่ย้ายตำแหน่งให้เธอ เพื่อไม่ต้องการให้เธอโดนรังแกอีกต่อไป ไม่ได้อยากทำอะไร”
เสิ่นเฉียวไม่พูด เพียงแต่หายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย
เย่หลิ่นหานได้ช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนขับรถ แต่กลับมากุมมือของเธอ: “รู้ไหมเมื่อคืนเย่โม่เซินออกไปหาใคร?”
ไม่ได้รอให้เสิ่นเฉียวได้พูด เย่หลิ่นหานก็ได้พูดต่อ: “หากระหว่างเธอทั้งสองมีความรักกัน หากเธอมีความสุขละก็ พี่ก็จะไม่พูดอะไรเลย แต่พี่ไม่อยากเห็นเธอได้รับบาดเจ็บอีก”
“พี่ใหญ่……..” เสิ่นเฉียวอยากผลักเขาออก ทันใดนั้นเย่หลิ่นหานยื่นมือออกไปโอบไหล่เธอไว้ แล้วก็กอดเธอ
ชั่วขณะนี้ เสิ่นเฉียวได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองอย่างไม่หยุด
เย่หลิ่นหาน…….เขาจะทำอะไร?
“เฉียวเฉียว หากเธอยินยอม พี่ใหญ่จะดูแลเธอตลอดชีวิต”
ได้ยินแบบนี้ เสิ่นเฉียวยิ้มที่มุมปาก “ก่อนที่พี่ใหญ่จะทำเรื่องนี้ ได้คิดถึงความรู้สึกของน้องชายตัวเองว่าเป็นยังไงมั้ย?”
“ในเมื่อโม่เซินไม่อยากรักษาเธอไว้ดีๆ พี่ก็จะไม่ให้โอกาสเขาอีก เฉียวเฉียว หย่ากับเขาเถอะ”
“หลังจากหย่าล่ะ?” เสิ่นเฉียวถาม
เย่หลิ่นหานนิ่งไปสักพัก แล้วถอยตัวออก ใช้สายตาที่อ่อนโยนจ้องมองเธอ
“หลังจากหย่า ฉันก็จะกลายเป็นเป้าที่ถูกคนโจมตี ถึงเวลานั้นค่อยแต่งงานกับพี่ใหญ่เหรอ? พี่ใหญ่หวังดีกับฉันจริงๆใช่ไหม?”
เย่หลิ่นหานเม้มริมฝีปากบาง นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ
“เห่อ” เสิ่นเฉียวหัวเราะเยาะเย้ย: “เย่หลิ่นหาน คุณสงสารที่ฉันถูกรังแกจริงๆ หรือว่าคุณแค่ต้องการแก้แค้นเย่โม่เซิน ถึงอยากให้ฉันหย่านักหย่าหนา? จะให้ฉันไปอยู่กับคุณ เพื่อยืนยันว่าคุณมีเสน่ห์มากงั้นเหรอ?”
ได้ยินแบบนี้แล้ว สายตาที่อ่อนโยนของเย่หลิ่นหานเปลี่ยนกระวนกระวาย เขาไม่คาดคิดว่าเสิ่นเฉียวจะคิดแบบนี้ และยังพูดออกมาโดยตรง เขาโอบไหล่ของเสิ่นเฉียว: “เธอทำไมคิดแบบนี้ หรือว่าในสายตาเธอ พี่ใหญ่เป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
“พี่ใหญ่งั้นฉันจะบอกพี่ ว่าพี่เป็นคนแบบไหน? พี่คิดว่าฉันจะเชื่อจริงเหรอ ว่าพี่จะชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว? งั้นพี่ก็น่าจะรู้ นอกจากเย่โม่เซินแล้ว เมื่อก่อนฉันก็เคยแต่งงาน หากหย่าอีกครั้ง ฉันก็จะกลายเป็นผู้หญิงที่แต่งงานสามครั้ง ในสายตาของผู้ชายอย่างพวกคุณ ผู้หญิงอย่างฉันก็แค่รองเท้าที่ขาดๆคู่หนึ่งเท่านั้น พี่จะเอามันจริงเหรอ? อย่าซื่อหน่อยเลย ถึงแม้พี่พูดมากกว่านี้ ฉันก็ไม่มีทางเชื่อ!”
เย่หลิ่นหานขมวดคิ้ว มือที่โอบไหล่เธอยิ่งอยู่ยิ่งแน่นขึ้น รอจนกว่าเขาพูดจบเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ต่ำ: “ห้ามเธอว่าตัวเองแบบนี้ อะไรแต่งงานสามครั้งอะไรรองเท้าขาดๆ พี่ไม่แคร์สักอย่าง”
“งั้นพี่แคร์อะไร?” เสิ่นเฉียวยิ้มอย่างเย็นชา: “สิ่งเหล่านี้พี่ไม่แคร์เลย พี่คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ?”
“พี่แคร์หัวใจของเธอ”
เสิ่นเฉียวอึ้งไปชั่วขณะ มองเย่หลิ่นหานที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมด้วยความประหลาดใจ
เย่หลิ่นหานจ้องมองจ้องมองดวงตาที่เย็นชาของเธออย่างจริงจัง: “พี่รู้ หลังจากการแต่งงานที่ล้มเหลวถึงสองครั้ง มันยากที่จะทำให้เธอเชื่อผู้ชาย ดังนั้นพี่ยินดีที่จะรอเธอ รอจนถึงวันที่เธอเต็มใจที่จะเชื่อพี่ เฉียวเฉียว พี่แค่อยากให้เธอรู้ พี่เย่หลิ่นหานคนนี้ชอบเธอจริงๆ พี่ไม่ได้ล้อเล่นกับเธอ พี่สามารถใช้…….ชีวิตของพี่ในการสาบาน”
เขายกมือขึ้น เหมือนกับกำลังจะเข้าพิธีการอะไรสักอย่าง
“ฟ้าดินเป็นพยาน ผมเย่หลิ่นหานยินยอมสาบานด้วยทรัพย์สินและชีวิตทั้งหมด เพื่อแลกกับความเชื่อใจของเสิ่นเฉียว ผมต้องการดูแลเธอในชาติภพนี้ หากผมพูดโกหกแม้แต่คำเดียว ผมจะได้ไม่ตายดี”
เสิ่นเฉียวถูกคำพูดประโยคสุดท้ายทำให้ตกใจจนหน้าซีด: “พี่ พี่อย่าพูดไปเรื่อย!”