บทที่ 23 เธอไม่ควรพูดแบบนั้น
มือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงของเขาประคองร่างของเสิ่นเฉียวไว้พอดี
รอบตัวเกิดความเงียบ ใบหน้าที่ซีดเซียวของเสิ่นเฉียวก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
ท่อนขาแข็งแรงมีส่วนช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยเสิ่นเฉียวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อดูว่าคนที่ช่วยเธอไว้นั้นเป็นใคร
ดวงตาของเขาคมลึกเข้ากันดีกับคิ้วคม ริมฝีปากบางเม้มแน่น และร่างกายที่แผ่ความอบอุ่นออกมา แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนวีลแชร์ก็ยังรับตัวคนที่เกือบจะล้มได้พอดี
ผู้คนต่างถอยหลังไปสองก้าวเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ใบหน้าตกใจมองดูผู้ชายคนนี้ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัว
เขาเป็นใคร?!
เสิ่นเฉียวไม่มีมีแรง ยังคงนั่งอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเย่โม่เซิน
“คุณ…คุณไม่ได้กลับไปแล้วเหรอ?”
เธอคิอว่าเขาทนมองดูเธอสวมชุดพวกนี้ไม่ได้เลยกลับไปแล้ว ใครจะคิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวกะทันหันแบบนี้?
“ยังไม่ลุกอีก” เจ้าของดวงตาลึกที่ตรึงเธอเอาไว้พูดขึ้น
ได้ยินแบบนั้นเสิ่นเฉียวก็ได้สติ ลุกขึ้นยืนตามที่เขาพูด แต่เมื่อเธอลุกขึ้นก็พบว่าตรงที่ขาดนั้นขยายวงกว้างกว่าเดิมมาก ชุดนี้ค่อนข้างหนักถ้าลุกขึ้นยืนมีหวังหลุดหมดแน่
“ไม่ ไม่ได้ค่ะ”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว มองเธอด้วยความไม่พอใจ
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากแล้วบอกเขาอย่างเขินอาย “ชุดจะหลุดค่ะ”
ดวงตาของเย่โม่เซินหรี่ลงในขณะที่มองเธออยู่
เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มากเมื่อมาอยู่ในสถานการณ์น่าขายหน้าแบบนี้ เย่โม่เซินจะทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวหรือเปล่า?
ในขณะที่คิดแบบนั้นก็มีเสื้อสูทตัวหนึ่งถูกนำมาคลุมเธอไว้ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความกลัวบังเอิญสบเข้ากับดวงตาน่ากลัวของเย่โม่เซิน
“คุณ…”
“ยังไม่ลุกอีก”
เสิ่นเฉียวกระชับเสื้อสูทแล้วลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือจากมือที่แข็งแรงของเย่โม่เซินอีกที
มือของเขากว้างและอบอุ่นจนส่งผ่านฝ่ามือนั้นมายังร่างกายจนมาถึงหัวใจของเสิ่นเฉียว เมื่อเสิ่นเฉียวลุกขึ้นยืนแล้ว เย่โม่เซินก็ดึงมือกลับอย่างเฉยเมย จนทำให้เสิ่นเฉียวจู่ ๆ ก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา
เสื้อสูทที่คลุมตัวเธออยู่นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นชายที่แข็งแรง เสิ่นเฉียวที่เคยวิตกกังวลรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกปกป้อง
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกแบบนี้
“ใครผลักเธอ?”
เสียงของเย่โม่เซินเข้มและเย็นชา
พนักงานที่พึ่งจะโทรศัพท์เสร็จถึงรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไป ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว ก่อนหน้านี้ที่เธอบริการและทำตัวไม่เหมาะสมกับเสิ่นเฉียวก็เพราะผู้ชายคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์นั่นดูไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ตอนที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็เห็นกับตาว่าเขาหายไปแล้ว เธอคิดว่าเขาไม่แยแสเสิ่นเฉียวแล้วก็เลยทิ้งเธอไว้แล้วจากไป
แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมาทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?
สายตาของพนักงานลุกลี้ลุกลน เมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็เกิดอาการไม่กล้าพูดขึ้นมา
“ฉันจะถามอีกครั้งว่าใครเป็นคนผลักเธอ?”
ครั้งนี้ น้ำเสียงของเย่โม่เซินดังขึ้นพร้อมกับความกดดันสร้างความตื่นกลัวให้คนรอบข้าง
เขานั่งอยู่บนวีลแชร์แท้ ๆ ทำไมถึงมีแรงกดดันและเข้มแข็งจนทำให้คนอื่นสั่นกลัวได้ขนาดนี้?
คนรอบข้างที่เคยกล่าวหาเสิ่นเฉียวกลัวว่าจะได้รับผลกระทบก็รีบชี้ไปที่พนักงานคนนั้น “ไม่เกี่ยวกับเรา พนักงานคนนี้ใส่ร้ายผู้หญิงคนนี้เสียงดังมาก พวกเราก็เลยเดินมาดูเท่านั้น”
“ใช่ ๆ พนักงานคนนี้พูดว่าเธอตั้งใจทำลายชุดนี้ เมื่อกี้ก็เพิ่งโทรตามตำรวจมา”
พนักงานที่เย่อหยิ่งคนเมื่อกี้กลายเป็นคนเงียบไม่กล้าพูดอะไร เมื่อถูกรับแรงกดดันจากคนรอบข้างก็รีบโบกมือปฏิเสธด้วยความกลัว “ไม่จริงนะคะคุณลูกค้า เป็นคุณลูกผู้ผู้หญิงท่านนี้ไม่ทันระวังชนฉันเข้าแล้วตัวเองก็ล้มลงไปเองจนชุดขาด ฉันไม่ได้ทำนะคะ”
ดวงตาของเสิ่นเฉียวหลุบต่ำลงเมื่อได้ยินแบบนั้น มันก็จริงอยู่ที่เธอไม่ระวังล้มจนชุดขาดเอง จะโทษคนอื่นก็คงไม่ได้
“เหรอ?” เกิดรอยยิ้มดูถูกบนใบหน้าของ เย่โม่เซิน แล้วเพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย “เขาล้มเองจริงเหรอ?”
พนักงานรับรู้ถึงความกดดันและอากาศเย็นเยือก ริมฝีปากขยับแต่ไม่มีเสียงออกมา
ซือฉีนเป่าเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปก็เกิดไม่พอใจ ผู้ชายที่นั่งอยู่บนวีลแชร์นั่นเป็นใคร? ก็แค่คนพิการคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด?
คิดได้แบบนั้นซือฉีนเป่าก็เอ่ยปาก “เสิ่นเฉียว เธอล้มเองแล้วก็ยังทำชุดพังเองอีก ตอนนี้มีคนมาช่วยเธอแล้วเธอก็เลยคิดจะผลักความรับผิดชอบให้คนอื่นเหรอ? ถึงว่าหลินเจียงทิ้งเธอ นอกจากปากแข็งแล้วยังขาดความรับผิดชอบอีก”
คำพูดนั้นทำให้เย่โม่เซินรับรู้ข้อมูลบางอย่าง ดวงตาของเขากวาดมองไปทางซือฉีนเป่า
หลินเจียงสวมกอดซือฉีนเป่าเมื่อรับรู้ถึงความกดดันและเย็นชืด เขาเงยหน้าขึ้นปะทะกับดวงตาคมและเงาดำมืดของผู้ชายคนนั้น หลินเจียงกลัวเล็กน้อย เขากำมือของซือฉีนเป่าไว้แล้วกระซิบ “เป่าเอ๋อ เรากลับกันก่อนดีไหม อย่ายุ่งกับเขาเลย”
“ไม่ค่ะ” ซือฉีนเป่าจับแขนเขา ทำปากมุ่ยแล้วพูด “หลินเจียง ถ้าเราไปก็จะไม่มีใครช่วยพนักงานคนนั้นนะคะ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเป็นเสิ่นเฉียวทำชุดพังเอง ชุดนั้นราคาเป็นล้านเลยนะคะ เสิ่นเฉียวกับผู้ชายคนนั้นต้องไม่รับผิดชอบแน่ ๆ”
ตั้งแต่หลินเจียงถูกลอตเตอรี่ยี่สิบสองล้านบาท ซือฉีนเป่ามักจะคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นเพราะมีเงิน
ซือฉีนเป่าไม่ใช่คนมองการณ์ไกล อีกทั้งยังกำลังตั้งท้องแก่ด้วยทำให้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนตามใจ ตัวเธอทำตัวผยองเพราะหลินเจียงรวยแล้ว อีกทั้งยังกำจัดคู่แข่งเพื่อให้ได้สิ่งเหมาะสมกับเธอที่สุดไปแล้ว เธอก็ยิ่งผยองไปกันใหญ่
ซือฉีนเป่ามองไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ก็พูดอย่างดูถูก “นั่งอยู่บนวีลแชร์แบบนั้นคงจะไม่มีงานทำสินะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ชุดนี้น่ะราคาสิบล้านไม่ใช่ชุดธรรมดาทั่วไป อยากจะยกระดับเธอก็ดูด้วยว่าตัวเองน่ะความสามารถถึงหรือเปล่า”
ซือฉีนเป่าพูดจบก็ถอนหายใจ “ร้านนี้รับคนทุกประเภทนี้เข้ามาด้วยเหรอ? คิดว่าหลอกว่ามีเงินแล้วก็เข้ามาได้เหรอ? ไม่สำเหนียกตัวเอง เสิ่นเฉียวที่น่าสงสาร ฉันคิดว่าหลังจากที่ห่างกับหลินเจียงจะหาผู้ชายดี ๆ ที่ไหนได้กลับไปเลือกเอาคนพิการที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ สายตาเธอยังดีอยู่ไหมเนี่ย?”
เย่โม่เซินเกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมาว่าเขาว่าพิการ
คำพูดนี้เป็นคำต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าพูดสำหรับตระกูลเย่
แต่ซือฉีนเป่ากลับพูดมันออกมา!
ดวงตาของเย่โม่เซินเชี่ยวกราก เซียวซู่ที่อยู่ข้างหลังรับรู้ได้ว่าเขากำลังโกรธ กำลังจะเดินไปข้างหน้าเพื่อห้าม…
“เธอไม่ควรพูดแบบนั้น!”