บทที่ 221 เรามันก็คนประเภทเดียวกัน
“มีอะไรเหรอ คุณนายน้อยสองเข้าไปล้างจานในครัวได้ยังไง”
“น่าจะเป็นคำสั่งมาจากนายท่าน”
“ไม่น่าจะใช่นะ เพื่อนของคุณนายน้อยสองยังอยู่ที่นี่ ฉันคิดว่านายท่านทำดีต่อเพื่อนของคุณนายน้อยสองมาก ยิ้มตาหยีให้ตลอด เมื่อก่อนไม่เคยเห็นนายท่านทำแบบนี้กับใครมาก่อน”
“อ่า พวกเธอคิดมั้ยว่านายท่านไม่ชอบคุณนายน้อยสองคนปัจจุบันของพวกเราอยู่ก่อนแล้ว เลยอยากหาคุณนายน้อยคนใหม่มาให้คุณชายสองของ ดังนั้น …”
หัวข้อสนทนาเหล่านี้เข้าหูเสิ่นเฉียวโดยไม่ตกหล่นสักคำ มือของเธออ่อนแรงฉับพลันและจานในมือของเธอก็หลุดออกตกลงบนพื้นตามมาด้วยเสียงดังโครมคราม
สาวใช้มองหน้ากันแล้วกระซิบ
“พอไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวคุณนายน้อยสองจะโกรธ พวกเธอลืมเรื่องครั้งก่อนไปแล้วหรือไง”
“ไปเร็ว”
กลุ่มคนรีบออกจากครัวอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นในครัวตอนนี้จึงเหลือเสิ่นเฉียวที่ยืนโง่ๆ อยู่เพียงคนเดียว หน้าอ่างล้างจานมองไปที่กองจานเท่าภูเขา จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดในใจ
นายท่านเย่ ที่แท้ไม่อยากเป็นแม่สื่อให้หานเส่ยโยวและเย่หลิ่นหานเหรอ ทำไมถึงมากลายเป็นเย่โม่เซินไปได้ยังไง
จะว่าไปไม่ว่าจะเป็นเย่โม่เซินหรือเย่หลิ่นหาน ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าหานเส่โยวพอใจหรือเปล่า
เธอกำลังคิดอะไรอยู่
เสิ่นเฉียวตอบสนองในฉับพลันแล้วก้มลงไปหยิบเศษแก้วที่พื้น
ร่างสูงก้าวเดินเข้ามา จับนิ้วขาวของเธอก่อนที่มือของเธอจะสัมผัสกับเศษแก้วและเปล่งเสียงนุ่มลึกออกมา
“อย่าแตะ”
เสียงที่คุ้นเคยทำให้เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจจากนั้นก็สบเข้ากับดวงตาที่อ่อนโยนทำเอาทำอะไรแทบไม่ถูก
“พี่ใหญ่”
ทำไมเย่หลิ่นหานถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“อย่าเอามือไปโดนเศษแก้วมันคมออก จะบาดเจ็บเอาได้”
ในขณะที่พูดอยู่เย่หลิ่นหานก็จับเธอไว้และพยุงเธอให้ลุกขึ้นมา
เสิ่นเฉียวตะลึงอยู่สักสองสามวินาทีแล้วดึงมือกลับมา เย่หลิ่นหานไปเอาไม้กวาดมากวาดเศษแก้วที่พื้นแล้วทิ้งลงถังขยะ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการกระทำของเขาล้วนมีเจตนาที่ดี เสิ่นเฉียวไม่สามารถจะโกรธใส่เขาได้ จึงทำเพียงพยักหน้า “ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่”
หลังจากพูดเสร็จก็หันไปเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างสิ่งตกค้างที่ถ้วยชาม
“อย่าทำเลย” เย่หลิ่นหานก้าวไปปิดก๊อกน้ำขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เรื่องพวกนี้ให้คนรับใช้ทำก็ได้เธอขึ้นไปชั้นบนได้แล้ว”
“แต่ …” นายท่านบอกให้เธอทำ ถ้าเธอทำไม่ดี จะ…
“คุณปู่พูดไปอย่างนั้น เขาก็ไม่มาดูหรอกว่าเธอล้างเองหรือเปล่า เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่หรอก ขึ้นไปชั้นบนกันเถอะ”
คิดไปคิดมา เสิ่นเฉียวยังคงส่ายหัว “ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับฉัน”
เสิ่นเฉียวเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง ความจริงเธอคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้มาก เรื่องพวกนี้เมื่อก่อนก็ทำมาไม่น้อย แต่เธอแทบไม่ได้ทำเลยหลังจากแต่งงานกับตระกูลเย่และวันนี้มาทำอีกก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
เมื่อได้เห็นการท่าทางที่คล่องแคล่วของเธอทำให้เย่หลิ่นหานรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา
“ไม่รู้สึกว่ามันน้อยใจเหรอ”
เสิ่นเฉียวตะลึง ครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ ออกมา “จะเป็นอะไรไปคะ เรื่องพวกนี้เมื่อก่อนฉันทำจนชินแล้วล่ะ พี่ใหญ่ พวกนี้ฉันจัดการเองพี่ออกไปก่อนเถอะค่ะ”
แต่พูดอยู่นานคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็นิ่งไม่ไหวติงและไม่คิดที่จะจากไปไหน
หลังจากนั้นไม่นานเย่หลิ่นหานก็เดินมาข้างๆ เธอ “อืมในเมื่ออยากทำงั้นพี่จะช่วยเธอเอง”
เย่หลิ่นหานยื่นมือเข้าช่วย เสิ่นเฉียวตะลึงจ้องมองเขา “พี่ใหญ่ …”
“อย่าเรียกฉันว่าพี่ใหญ่เลย” เย่หลิ่นหานเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ “ฉันหวังให้เธอเรียกด้วยชื่อและนามสกุลจริงของฉัน”
เสิ่นเฉียว “…”
เธอไม่พูด แต่มองไปที่อ่างดื้อ ๆ
“เฉียวเฉียว ฉันรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะยอมรับในเวลาสั้นๆ แบบนี้ แต่ฉันยินดีที่จะรอไม่ว่าตอนนี้เธอจะคิดยังไงฉันแค่หวังว่าเธอจะจำไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่มีความคิดแง่ร้ายต่อเธอ มีแต่เพียงความจริงใจให้เธอเท่านั้น ขอเพียงเธอต้องการไหล่ของฉันสามารถปกป้องเธอจากลมฝนได้ตลอดชีวิตแม้ว่าคนทั้งโลกจะด่าว่าฉัน เธอก็สามารถซ่อนตัวอยู่หลังของฉันได้”
“พี่ใหญ่” เสิ่นเฉียวขัดคำพูดของเขาและพูดอย่างเคร่งขรึม “ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีก ฉันไม่อยากฟัง”
“เฉียวเฉียว …” เย่หลิ่นหานมองเธออย่างเจ็บปวด “ตอนนี้เธอเริ่มเกลียดฉันแล้วหรือ”
“ไม่ค่ะ…ฉันไม่ได้เกลียดพี่ใหญ่ แต่…เป็นพี่ใหญ่ก็จะเป็นพี่ใหญ่ตลอดไป ก็เหมือนกับ…ถ้าในอนาคตข้างหน้าฉันไม่ได้อยู่ร่วมกับเย่โม่เซินแล้ว พี่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
พูดเท่านี้ เสิ่นเฉียวเดาว่าไม่ว่าเขาจะมีความรู้สึกลึกซึ้งแค่ไหนเขาก็น่าจะเข้าใจความหมายของเธอแล้ว
เธออยากจะล้างอยู่ที่นี่ต่อ แต่เย่หลิ่นหานก็อยู่ที่นี่ด้วย เสิ่นเฉียวจึงไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ เธอจึงพูดว่า “ถ้าอยากล้างฉันจะออกไปก่อน”
หลังจากพูดจบเสิ่นเฉียวก็หันหลังเดินออกไปเย่หลิ่นหานรู้สึกกระวนกระวายและก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดไม่ให้เธอออกไป
“เฉียวเฉียวให้โอกาสฉันอีกครั้งไม่ได้เหรอ”
“พี่ใหญ่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ” เสิ่นเฉียวส่ายหัว เดินผ่านเขาออกไป เย่หลิ่นหานรีบรั้งข้อมือเธอของเธอไว้ “ถึงโม่เซินจะไม่ชอบเธอก็ไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองขนาดนี้”
ไม่นานเสิ่นเฉียวก็ค่อยๆ ผลักมือที่กุมมือเธอออกไปเบาๆ น้ำเสียงของเธอดั่งพายุ “แล้วพี่ใหญ่ล่ะตอนนี้ต่างจากฉันเหรอ พี่ตอนนี้แย่ยิ่งกว่าฉันเสียอีก”
ได้ยินเช่นนั้น แววตาที่อบอุ่นของเย่หลิ่นหานก็ทำให้รู้สึกถึงความรู้สึกไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เขายิ้มอย่างขมขื่น “ก็ถือว่าดีไม่ใช่เหรอ แสดงว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน ขอเพียงเธอยอมรับฉันก็ไม่ต้องมีเรื่องรักสามเส้าอีกแล้ว”
“ฉันขอตัวไปก่อน” เสิ่นเฉียวไม่อยากคุยกับเขาอีกต่อไป จึงก้าวเท้าออกจากครัวไป
เธอเดินไปที่ห้องน้ำข้างๆ เพื่อล้างมือจากนั้นก็ขึ้นไปชั้นบน เสิ่นเฉียวตรงไปยังห้องของตนเมื่อเธอไปถึงประตูกำลังจะเปิดประตูอยู่นั้น ก็พบว่าประตูเปิดอยู่แล้ว
เมื่อเธอยังแปลกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากข้างใน
“คุณชายเย่ ปล่อยฉันไปเถอะ”
นี่คือ…
เสียงของหานเส่โยวเหรอ
สีหน้าของเสิ่นเฉียวเปลี่ยนไป มองผ่านช่องที่ประตูเห็นเย่โม่เซินจับข้อมือของหานเส่โยว มองไปที่เธอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เห็นได้ชัดว่าหานเส่โยวอยากจะดึงมือกลับ แต่แรงของเธอมีไม่พอ
เสิ่นเฉียวแทบจะพุ่งเข้าไป แต่…เท้าทั้งสองของเธอตอนนี้ขยับไม่ได้เหมือนติดอยู่กับที่
เกิดอะไรขึ้น เธอเองก็ไม่รู้และก่อนที่เธอจะได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด เสิ่นเฉียวก็ออกไปจากตรงนั้น เธอรีบวิ่งลงไปข้างล่างที่เธอเพิ่งจากมาราวกับจะบินลงไปอย่างนั้น จากนั้นก็ไปที่มุมหนึ่งของสวนเธอก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
เธอกำลัง…ทำอะไร เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเธอไม่ได้เข้าไปยุติ แต่กลับถอยหลังและวิ่งออกมาเหรอ
เธอผิดอะไร
เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าสมองอยู่ในสภาพตาย
อีกด้านหนึ่งดวงตาของหานเส่โยวมีสีแดง “คุณชายเย่ ฉันพูดไม่ได้จริงๆ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะค่ะ”
ดวงตาของเย่โม่เซินเหมือนถูกวางยาพิษ “ทางที่ดีบอกฉันมาให้หมด ไม่งั้น … “