บทที่ 223 คุณคือปีศาจ
เนื่องจากเธอไม่มีอะไรจะพูดเขาก็ไม่ถามอะไรอีก
เย่โม่เซินออกไปแล้ว ในห้องเหลือเธอเพียงคนเดียว เสิ่นเฉียวอึ้งไป จากนั้นก็เอนหลังบนเตียงและมองไปที่เพดานตรงหน้าสมองว่างเปล่า
แม้ว่าเธอจะพยายามปลอบตัวเองแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เธออยากจะสงบ แต่ก็ยังอดเศร้าไม่ได้
หลับตาลงสิ่งที่ปรากฏในสมองของเสิ่นเฉียวคือภาพที่พวกเขาที่อยู่ด้วยกัน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หานเส่โยวก็ไม่ได้ติดต่อเธออีกเลย เสิ่นเฉียวก็ไม่เข้าใจและไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อเธอไปโดยยังคงทำงานทุกวันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ต่างจากเย่โม่เซิน ตั้งแต่หานเส่โยมาหาเขา เขาก็เริ่มสงสัยและขอให้เซียวซู่ตรวจสอบ
หลังจากที่เซียวซู่ทราบข่าวเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณชายเย่ คุณคิดว่าหานเส่ยโยว …”
“เธอจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ เพื่อหาเบาะแสว่าผู้หญิงในคืนนั้นคือใครเราต้องใช้เธอ คุณน่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เซียวซู่ก็พยักหน้าแสดงถึงเข้าใจ “แต่เธอเป็นลูกสาวของตระกูลหาน เกรงว่า… “
“คุณทำให้สุดความสามารถก่อน เมื่อจำเป็นสามารถใช้ไม้แข็ง”
“ทราบแล้ว คุณชายเย่ ผมจะทำตามที่คุณบอก”
เมื่อเซียวซู่ออกไปบังเอิญพบกับเสิ่นเฉียวที่เอากาแฟเข้ามา เมื่อเห็นเสิ่นเฉียวที่มีทีท่าไร้อารมณ์ เซียวซู่จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาจึงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจแล้วออกไป
ผ่านไปนานมากแล้ว เซียวซู่ก็ช่วยเย่โม่เซินหาผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ เขายังคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว จู่ๆ ก็มีเบาะแสปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เห็นคุณชายเย่ยังห่วงใยผู้หญิงในคืนนั้นมาก ถ้าหาคนคนนั้นเจอและนำกลับมาได้จริงๆ ถึงตอนนั้นคุณนายน้อยสองจะเป็นอย่างไร อยู่ในสถานะอะไร
ทันใดนั้นเซียวซู่รู้สึกว้าวุ่นใจแทนเสิ่นเฉียวขึ้นมา
เสิ่นเฉียววางกาแฟลงบนโต๊ะเงียบๆ แล้วเดินออกไปอีกครั้ง
เย่โม่เซินจ้องมองเธอและนิ่งเงียบ
ณ โรงอาหารตอนกลางวันมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา ถ้าเป็นเสิ่นเฉียวในปกติมักจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ แต่วันนี้ทันทีที่เธอเดินเข้าไปสายตาของคนนับไม่ถ้วนก็จ้องมาที่ใบหน้าของเธอบางคนถึงกับดูถูกและเอือมระอา มองเสิ่นเฉียวท่าทีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
ดังนั้นเธอจึงสะกิดเสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างๆ “เธอคิดว่าวันนี้สายตาของทุกคนแปลกไปว่าไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวเหยียนมองไปรอบๆ และพยักหน้า “ฉันรู้สึกเหมือนกันดูเหมือนว่าพวกเขาแทบจะถุยน้ำลายใส่เธออยู่แล้ว เธอไปทำอะไรผิดอีกหรือเปล่า”
เสิ่นเฉียวมองด้วยสีหน้าว่างเปล่าเล็กน้อย “ฉันทำอะไร”
“งั้นไปกินข้าวกันก่อนนะแล้วฉันจะช่วยถามสาเหตุ หลังจากที่เรากินเสร็จ”
เสี่ยวเหยียนลากเธอไปที่มุมหนึ่งเพื่อนั่งลงทันทีที่พวกเขานั่งลงพวกเขาก็ได้ยินเสียงจากโต๊ะข้างๆ ที่อยู่ติดกัน
“ทำไมเธอถึงกล้ามาล่ะ ไร้ยางอายจริงๆ ที่กล้ามาโผล่ที่นี่หลังจากทำเรื่องอื้อฉาวแบบนี้”
เรื่องอื้อฉาวงั้นเหรอ
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อย่าพูดถึงเธอเลย เธอสนที่ไหนกันล่ะ แม้แต่คุณชายเย่และรองประธานเย่ของเราก็ยังคลานขึ้นเตียงได้ เห็นว่าพวกเขาปฏิบัติกับเธอแบบพิเศษ พวกเขาคงต้องเล่นกันบนเตียง เธอยั่วยวนให้ผู้ชายทั้งสองคนในตระกูลเย่ย้ายตำแหน่งของเธอจนเลื่อนขึ้นมา น่าเสียดายที่ยังไม่พอใจ และเธอก็หลอกล่อผู้ชายที่แต่งงานแล้ว เรื่องต่ำๆ แบบนี้ มีแต่คนต่ำๆ เท่านั้นแหละที่ทำได้”
เสี่ยวเหยียนเพิ่งกินข้าวไปหนึ่งคำได้ยินดังนั้นก็วางช้อนลงแล้วพูดว่า “พวกเขาคุยอะไรกันไร้สาระ”
“อ้าว นี่มือที่สามไม่ใช่เหรอ มาที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารด้วยเหรอ บังเอิญเหลือเกิน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงร้องดังขึ้นตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงแหลมปี๊ด เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมองคนที่เพิ่งมาและพบว่าคนคนนั้นก็คือเฉียงเวยที่เคยทะเลาะกับเธอในโรงอาหารครั้งก่อน
“ฉันบอกแล้วไง เป็นมือที่สามก็เป็นไป ถึงยังไงก็เป็นทางเลือกของเธอ แต่คุณก็เชื่อฟังเกินไปตอนที่ยังผยองไปที่โรงอาหารเพื่อกินข้าว ไม่กลัวที่จะทำให้คนอื่นคลื่นไส้กินไม่ลง คิดถึงใจคนอื่นบ้างสิจะรู้สึกยังไง”
ได้ยินดังนั้นเสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ครั้งที่แล้วบทเรียนไม่พอเหรอ อยากจะโดนอีกใช่มั้ย”
เมื่อพูดถึงครั้งก่อน สีหน้าของเฉียงเวยก็เปลี่ยนไป มือเท้าบิดเกร็งเล็กน้อยและพูดว่า “เธอยังกล้าพูดถึงเรื่องครั้งก่อน คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง”
“ถ้าไม่กลัวทำไมวันนี้ถึงเพิ่งมาหาเรื่องล่ะไปไหนมา” เสิ่นเฉียวกระแทกกลับอย่างโกรธๆ
“เธอ” เฉียงเวยโกรธมากจนกัดฟัน ยกมือขึ้นปัดไปทางเสิ่นเฉียว สายตาของเสี่ยวเหยียนเร็วมากจึงพยายามขวางเธออย่างรวดเร็วและถามเสียงดัง “เฉียงเวย จะทำอะไรหน่ะ มาตีคนอื่นตามอำเภอใจชอบแบบนี้ได้ยังไง”
วันนี้โรงอาหารมีชีวิตชีวามากแล้ว ยังเสริมด้วยปัญหาของเฉียงเวยแล้วทุกคนในโรงอาหารก็จ้องมองพวกเขาทั้งสามคนด้วยสีหน้าราวกับกำลังรอชมการแสดงที่ดี
“เธอยุ่งอะไรด้วย ฉันจะตีใคร ไม่เห็นเหรอว่าเพื่อนเธอปากสว่าง ฉันตีเธอ ผิดตรงไหน ปล่อยนะ” เฉียงเวยสะบัดมือที่ถูกเสี่ยวเหยียนจับไว้ เสี่ยวเหยียนมายืนหน้าเสิ่นเฉียวพร้อมกับเท้าสะเอว “ใครปากสว่าง เห็นๆ อยู่ว่าคนนั้นก็คือเธอ คนเขากำลังกินอาหารถูกปาก จู่ๆ เธอนั่นแหละที่มาหาเรื่อง พวกเราใช้ให้เธอมาที่นี่หรือไงกัน เฉียวเฉียวเองก็ไม่อยากสนใจเธอ เธอเองต่างหากที่กระเสือกกระสนมาหาที่นี่เอง น่าขยะแขยงจริงๆ”
“แก”
เมื่อเสี่ยวเหยียนด่าคน จะไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เดิมทีก็เป็นหยาบคายและมีอารมณ์รุนแรงและคำพูดของเธอก็ไม่เบา จริงจังและไม่ให้เกียรติคนแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงเมื่อด่าคน มันไม่น่าฟังเลยจริงๆ
“ทำไม” เฉียงเวยเอามือกอดอกแล้วมองทั้งสองด้วยสายตาเย้ยหยัน “กล้าพูดว่าฉันปากสว่าง เอาฉันมาเปรียบกับผู้หญิงที่ขึ้นรถกับผู้ชายคนไหนก็ได้ ฉันพูดเรื่องจริงผิดตรงไหน เธอกล้าทำแต่ไม่ยอมรับเหรอ”
เปี๊ยะ
เสิ่นเฉียวซึ่งนั่งนิ่งอยู่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและเดินไปที่เฉียงเวยด้วยสายตาเย็นชาที่ไม่แสดงออกอย่างใด
“ฉันอยากรู้เหลือเกิน สิ่งที่เธอกล้าพูดและไม่กล้ายอมรับคือมีอะไร เธอเป็นคนนอกรู้ดีกว่าฉันได้ยังไง”
“ใช่ เรื่องเราเองเราไม่รู้ พวกเธอก็รู้แล้ว สรุปแล้วเราทำเรื่องอะไรไม่ดี หรือว่าพวกเธอกันแน่ที่กุเรื่องหลอกคนอื่น”
“เป็นเรื่องก่อขึ้นมาหลอกคนอื่นหรือเปล่า ลงไปข้างล่างแล้วดูก็รู้ นังมือที่สามหน้าด้าน”
ข้างล่าง
เสี่ยวเหยียนและเสิ่นเฉียวมองหน้ากันและต่างก็เห็นแสดงสีหน้าสงสัยมองกันและกัน
“ข้างล่างเกิดอะไรขึ้น เฉียวเฉียวเราไปดูกันเถอะ”
เดิมทีเสิ่นเฉียวก็อยากจะพยักหน้า แต่พอคิดได้ก็บอกว่า “ไม่ต้องห่วงไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยลงไปดู”
หลังจากพูดจบ เสิ่นเฉียนก็นั่งลงจากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินช้าๆ เสี่ยวเหยียนยืนอยู่ข้างๆ อย่างตะลึงสักพักก่อนที่จะตอบกลับว่า “เฉียวเฉียว”
“นั่งลงสิ” สีหน้าและแววตาของเสิ่นเฉียวดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวเหยียนจึงนั่งลง และกินข้าวต่อ
ในตอนนี้เฉียงเวยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าไม่ถูก เธอบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่ชั้นล่างแต่พวกเธอยังนั่งอยู่ที่นี่และกินอย่างช้าๆ ได้
“นังแพศยา นังปีศาจ” เฉียงเวยอดไม่ได้ที่จะด่า