บทที่ 227 ทำไมโทรศัพท์ของเธอถึงอยู่กับนาย
หลังจากที่เสิ่นเฉียวได้รับการช่วยเหลือจากเขาแล้ว เย่หลิ่นหานพบว่ามีจุดสีม่วงจำนวนมากบนร่างกายของเธอ และมีรอยขีดข่วนมากมายดูน่าตกใจ
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง” เย่หลิ่นหานจับข้อมือขาวบางของเธอแล้วถามอย่างประหม่า
เสิ่นเฉียวกำลังเพิกเฉยการสานต่อความสัมพันธ์กับเขา พลิกมือมาจับเขาและพูดอย่างร้อนใจ “มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น พี่รีบขอให้รปภ.นำชั้นวางของออกเร็วเข้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้นเย่หลิ่นหานจึงมองไปในทิศทางที่เธอกำลังมอง มันต้องสำคัญมากแน่ เมื่อมองไปเห็นภาพที่เต็มไปด้วยกองเลือดนี้เขาจึงเลิกคิ้วขึ้น “ย้ายชั้นวางออกไปเร็วเข้า”
“เฉียวเฉียว มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนี้ เธอถึงบาดเจ็บขนาดนี้”
เสิ่นเฉียวส่ายหัว “ฉันไม่มีเวลาอธิบายให้ฟัง ตอนนี้พาเธอไปส่งโรงพยาบาลได้ไหม”
แม้ว่าเธอจะเกลียดซือฉีนเป่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอที่นี่ทั้งตระกูลเย่ อาจได้รับผลกระทบที่ตามมาอย่างร้ายแรง ที่สำคัญคือเสี่ยวเหยียนก็มีส่วนร่วมด้วย ลำพังเธอคนเดียวไม่เป็นไร แต่เธอก็ไม่อยากให้คนอื่นมาเดือดร้อนด้วย
“โอเค ผมจะขับรถ คุณรอผม”
หลังจากพูดจบเย่หลิ่นหานก็รีบปล่อยมือเธอเพื่อไปขับรถ แต่โรงพยาบาลอยู่ใกล้กับบริษัทตระกูลเย่มากก่อนที่เย่หลิ่นหานจะมาถึง รถพยาบาลก็มาถึงก่อน หมอและพยาบาลเห็นสถานการณ์อย่างนี้จึงรีบปฐมพยาบาลซือฉีนเป่า หลังจากปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานแล้วเธอก็ถูกหามขึ้นเปลหามแล้วหามขึ้นรถพยาบาลไป
เสิ่นเฉียวรีบไปให้ทัน และเมื่อเธออยู่ข้างนอกเย่หลิ่นหานก็ขับรถมาจากลานจอดรถพอดี เขาเปิดหน้าต่างแล้วพูดว่า “เฉียวเฉียวรีบขึ้นรถ ผมจะพาไปโรงพยาบาล”
“ค่ะ” เสิ่นเฉียวพยักหน้ารีบเปิดประตูและเข้าไปในรถ
“ฉันจะไปด้วย” เสี่ยวเหยียนวิ่งตามเสิ่นเฉียวนออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เห็นเธอขึ้นรถ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในรถด้วย
ปัง
หลังจากประตูรถปิดเสิ่นเฉียวมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“เธอมาด้วยทำไม ฉันบอกให้กลับแผนกก่อนแล้วไง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็จ้องมองเธออย่างดุร้าย “เธอจะเอาความผิดทุกอย่างไปเป็นของตัวเอง ฉันจะไม่เป็นอย่างที่เธอต้องการ ถ้าเธออยากเอาเรื่องเธอขึ้นมา แบ่งความผิดมาลงที่ฉันสักนิดหนึ่งก็แล้วกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เสี่ยวเหยียนก็กัดฟัน “ยังไงก็ตามฉันเสี่ยวเหยียนกล้าที่จะทำ ก็กล้ายอมรับความผิด มันไม่มีอะไรต้องกลัวถ้ารับผิดชอบไม่ไหว ฉันยินดีมอบทั้งชีวิต … “
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ” เสิ่นเฉียวกดมือเธอและพูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนั้นฝูงชนวุ่นวายไม่ว่าใครจะเป็นคนที่ผลักออกไปนั้นยังไม่ได้รับการตรวจสอบ เธอขึ้นรถมาแบบนี้ฉันกลัวว่าจะควบคุมไม่ได้ แต่ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่ายังไงต้องไม่เป็นคนแรกที่หาเรื่อง แล้วก็ห้ามมุทะลุ”
ในตอนแรกเสี่ยวเหยียนไม่เข้าใจ แล้วจึงค่อยๆ ตอบกลับว่า “เธอหมายความว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้ผลักเธอเหรอ”
“ยังไม่ชัวร์ว่าใครเป็นคนผลัก แต่น่าจะไม่ใช่พวกเรา” เสิ่นเฉียวเล่าอย่างระมัดระวัง “ตอนนั้นเราถูกควบคุมโดยคนอื่นและได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว เราไม่น่าจะสามารถผลักเธอไปได้ไกลขนาดนั้นโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก”
“ถูกต้องแล้ว” แม้ว่าเย่หลิ่นหานที่กำลังขับรถอยู่ตอนนี้จะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ก็เข้าใจอะไรบางอย่างและพยักหน้าเห็นด้วยอย่างมั่นใจจากการสนทนาระหว่างคนทั้งสอง “ทุกอย่างต้องได้รับการตรวจสอบดังนั้นอย่ารีบยอมรับมัน ตอนนี้ไปโรงพยาบาลเพื่อดูสถานการณ์ฉันจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญในภายหลังดังนั้นอย่ากังวลใจ”
ฟังคำพูดนั้น เสี่ยวเหยียนมองเย่หลิ่นหานซาบซึ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วกอดแขนเล็กๆ ของเสิ่นเฉียว “พี่ใหญ่เย่น่าเชื่อถือมากกว่าสามีของเธอ คุณชายเย่นั่นเสียอีก ทั้งยังอ่อนโยนทั้งน่านับถือ”
แม้ว่าเสียงของเธอจะเบามาก แต่ก็อยู่ในรถและพื้นที่ก็มีจำกัด ดังนั้นเย่หลิ่นหานก็ได้ยินทั้งหมด
เสิ่นเฉียวมองผ่านกระจกเห็นเย่หลิ่นหานกำลังมองตาของตน จึงพูดเสียงเบาว่า “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ”
เสี่ยวเหยียนเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไร
ขับรถตามรถพยาบาลไปจนถึงโรงพยาบาล เมื่อลงจากรถเสิ่นเฉียวแทบจะล้มลงกับพื้นโชคดีที่เย่หลิ่นหานสามารถช่วยประคองเธอได้ทัน “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสี่ยวเหยียนก็ตามมา “เฉียวเฉียวเธอได้รับบาดเจ็บมากนะ หรือควรรักษาแผลก่อน”
“ฉันไม่เป็นไร” เสิ่นเฉียวแทบจะยืนไม่ขึ้น ก่อนหน้านี้รู้สึกกังวลเรื่องที่เกิดมากกว่า ตอนนี้รู้สึกแล้วว่าเข่าของคนเจ็บมาก น่าจะแตกแล้ว นั่นคือเหตุผลที่รู้สึกเจ็บมาก “เมื่อกี้ฉันไม่ทันระวัง เรามาดูสถานการณ์กันก่อนค่อยว่ากัน”
เย่หลิ่นหานขมวดคิ้วและตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้วจึงพยักหน้า “เอาล่ะเรามาดูสถานการณ์กันก่อนถ้าไม่มีปัญหาอะไรคุณและเสี่ยวเหยียนจะต้องไปหาหมอดูอาการบาดเจ็บทันที”
“ทราบแล้วค่ะ”
เสิ่นเฉียวผลักเขาออกไปไม่สนใจรอยแผลนั่น แล้วรีบตามคนเจ็บไป
เมื่อเห็นซือฉีนเป่าถูกนำเข้าห้องผ่าตัด เสิ่นเฉียวนึกถึงคนหนึ่งได้ ซือฉีนเป่าเป็นเช่นนี้ ควรโทรศัพท์หาหลินเจียงดีไหม
“เฉียวเฉียว กำลังคิดอะไรอยู่” จู่ๆ เสี่ยวเหลียนก็ถามขึ้น
ได้ยินดังนั้น เสิ่นเฉียวเรียกสติกลับมาและขยับริมฝีปาก “ฉันคิดว่า … ฉันควรโทรหาสามีของเธอดีไหม”
“เธอ รู้จักสามีของเธอ ถ้าอย่างนั้น …” เธอคงจะไม่ได้เป็นมือที่สามหรอกนะ
เกือบจะโพล่งประโยคนี้ออกไปโชคดีที่เสี่ยวเหยียนหยุดพูดกะทันหัน แล้วมองไปที่เสิ่นเฉียว “เหมาะสมหรือที่จะโทรหาสามีของเธอมั้ย ถึงอย่างไรเธอก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว”
เสิ่นเฉียวครุ่นคิดสักพัก ก็ยังคงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะส่งข้อความไป”
หลิ่นหานมองไปข้างๆ ที่เขาดวงตาของเขามีประกายมาก
“ทำอะไรได้ก็ต้องทำ ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ”
ได้ยินแล้วเสิ่นเฉียวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่เย่หลิ่นหาน
“ไม่ใช่เหรอ เธอเป็นคนพาผู้หญิงพวกนั้นมาเพื่อสร้างเรื่องวุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้ สำหรับเรื่องนี้เธอก็สมควรโทษ”
“ถูกต้อง เฉียวเฉียวฉันคิดว่าเธอควรโทรหาคุณชายเย่เพื่อรายงานความปลอดภัยของเธอเพราะเขาเป็นสามีของเธอ”
คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเสี่ยวเหยียนทำให้เย่หลิ่นหานหน้าเปลี่ยนสี เสี่ยวเหยียนอึ้งไปเล็กน้อยแล้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องโทรแล้วกัน”
เสิ่นเฉียว “……”
เธอกวาดสายตาเสี่ยวเหยียนอย่างหมดปัญญา อยากจะถามเธอว่าแข็งแกร่งหน่อยได้มั้ย
อย่างไรก็ตามคำพูดของเสี่ยวเหยียนทำให้เธอตั้งสติได้ เรื่องใหญ่โตแบบนี้และยังอยู่ในบริษัทตระกูลเย่ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เธอก็ควรจะแจ้งเย่โม่เซินสักคำ
เมื่อนึกได้ดังนี้ เสิ่นเฉียวก็ขยับตาและคิดจะโทรหาเย่โม่เซิน แต่เธอกลับลังเลและไม่ทันได้คิดอะไรต่อจู่ๆ เย่หลิ่นหาน ก็ยกมือขึ้น พูดน้ำเสียงอบอุ่น
“โทรศัพท์แจ้งโม่เซินสักหน่อยจะดีกว่า”
หลังจากพูดจบเขาก็กดปุ่มโทรออก เสิ่นเฉียวหยุดนิ่ง แล้วพูดว่า “ฉันเอง”
ทันทีโทรออก เย่โม่เซินก็รับโทรศัพท์ทันที เพราะอยู่ใกล้มาก เสิ่นเฉียวก็ได้ยินเสียงเย่โม่เซินเบา ๆ
“มีอะไร”
เสิ่นเฉียวกำลังคิดจะพูดอะไรกับเขาก็ได้ยินเย่หลิ่นหานพูดว่า “ฉันเอง”
อีกด้านหนึ่งเกิดความเงียบและหลังจากนั้นครู่หนึ่งมีเสียงหัวเราะเย็นชา “ทำไมโทรศัพท์ของเธอถึงอยู่ในมือนาย”
“เราอยู่โรงพยาบาล”