บทที่ 241 ตั้งใจ
พูดจบ อีกฝ่ายวางสายโทรศัพท์โดยตรง
เสิ่นเฉียวได้ยินแค่คำพูดที่รีบเร่ง หลังจากนั้นคำสุดท้ายไม่ทันพูดอีก
ตะลึงไปสักพักหนึ่ง เสิ่นเฉียวถึงจะวางโทรศัพท์ลง จากนั้นถอนหายใจแรงๆหนึ่งครั้ง
ไม่ปกติ
ต้องมีอะไรที่ไม่ปกติแน่ๆ
ตอนกลางวันที่เซียวซู่ส่งตนเองกลับมา เขาก็สีหน้าท่าทางอยากพูดแต่ไม่พูด เหมือนว่ามีอะไรอยากจะพูด แต่ว่าหลังจากนั้นก็ไม่พูดต่อ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเรื่องปิดบังเธอ แต่ว่าเธอไม่กล้าพูด
เรื่องเกี่ยวกับอะไร เสิ่นเฉียวนึกและทายไม่ออกเลย
นี่ก็ช่างมันเถอะ แต่เย่โม่เซินขอตัวออกจากที่ประชุมอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังไปทั้งวัน นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
มีเรื่องสำคัญต้องให้เขาไปจัดการ ถึงแม้เธอไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
แต่คนก็ต้องเกิดความสงสัยอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เสิ่นเฉียวตัดสินใจเดินตามใจของตนเอง เธอก็ยิ่งหวังว่าตนเองสามารถเข้ากับชีวิตของเย่โม่เซินได้ ค่อยๆเดินเข้าไปอยู่ในใจของเขา แล้วเรื่องของเขา เธอจึงต้องอยากรู้มากเป็นพิเศษ
แต่… …เธอไม่มีข่าวคราวหรือร่องรอยอะไร จึงไม่สามารถหาเขาได้เลย
ช่างเถอะ กลับไปรอก่อนละกัน
คอยดูว่าเซียวซู่จะหาเขากลับมาได้เมื่อไหร่ ดังนั้นเสิ่นเฉียวกลับไปที่ห้อง
นอนอยู่บนโซฟาที่นุ่มๆ เสิ่นเฉียวมองดูเพดานที่ขาวเหมือนหิมะ แล้วยื่นมือไปแตะเบาๆที่ท้องน้อยอย่างไม่รู้ตัว พูดเองเออเอง: “ลูกจ๋า ถ้าแม่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา เขา… …จะยอมรับหนูไหม?”
เสิ่นเฉียวรู้ ลูกน้อยในท้องของเธอยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดคืออะไร แต่เธอก็ยังหวังว่าเย่โม่เซินสามารถยอมรับลูกคนนี้
คิดถึงตรงนี้แล้ว เสิ่นเฉียวยิ้มเบาๆนิดๆ
กลับมีสายตาที่อบอุ่นของเย่หลิ่นหานโผล่ออกมาตรงหน้า เสิ่นเฉียวตกใจ ทำไมคิดถึงเขาในเวลาตอนนี้ เธอรีบส่ายหัวไปมา
นึกถึงสิ่งที่เธอฝันเมื่อคืน
“ผู้หญิงอย่างคุณ เหมาะสมที่จะได้รับความรักของเย่โม่เซินอย่างผมเหรอ?”
เสียงที่เย็นชาไม่ไยดีดังขึ้นข้างๆหู ในฝันนั้นสายตาของเย่โม่เซินเยือกเย็นมาก พูดได้ว่าเย็นเท่ากับธารน้ำแข็งบนขั้วโลกเหนือเลยก็ว่าได้
เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าตนเองเพ้อฝันเกินไปอย่างกะทันหัน ลูกในท้องของเธอเป็นของชายอื่น กลับหวังว่าเย่โม่เซินจะยอมรับเขา? มันเป็นไปได้เหรอ?
เพ้อฝัน ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพ้อฝันเท่านั้น
อารมณ์ของเสิ่นเฉียวเศร้าหมองจนลึกสุดใจ ลุกขึ้นแล้วกลับไปที่นอนของตนเอง นอนลงแล้วแต่ไม่หลับทั้งคืน
จนถึงตอนที่ฟ้าสางใกล้สว่างแล้ว เสิ่นเฉียวเพิ่งจะง่วงแล้วหลับไป
เธอตื่นมาอีกที ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว เสิ่นเฉียวพลิกตัวมา แสงอาทิตย์นอกหน้าตาส่องเข้ามาสว่างจ้า เธอรีบลุกขึ้นมาดูหน้าจอโทรศัพท์ สิบโมงกว่า และโทรศัพท์ก็เงียบอยู่อย่างนั้น ไม่มีข้อความข่าวคราวใดๆเลย
เซียวซู่……ยังไม่โทรกลับมาหาเธอ
เสิ่นเฉียวมองดูรอบๆแล้ว ก็ยังว่างเปล่า เย่โม่เซิน……ยังไม่กลับมาอีกเหรอ?
คิดไปคิดมา เสิ่นเฉียวโทรไปหาเซียวซู่
หลังจากทางโน้นรับสาย เสียงของเซียวซู่ฟังดูแล้วเหนื่อยล้ามาก
“คุณนายน้อยสอง”
“เซียวซู่ เย่โม่เซินเขา…….เป็นยังไงบ้าง? คุณหาเขาเจอหรือยัง?”
“คุณชายเย่ตอนนี้อยู่ที่บริษัทครับ”
ได้ยินว่าเขาอยู่ที่บริษัท ใจที่กระวนกระวายของเสิ่นเฉียว ในที่สุดก็โล่งใจสักที เธอได้ยินตนเองโล่งใจ แล้วก็พูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
เซียวซู่ถามอย่างลังเลว่า: “คุณนายน้อยสอง……คงไม่ใช่ว่ารอคุณชายเย่ทั้งคืนนะครับ?”
เสิ่นเฉียวตะลึงไปสักพักแล้วก็รีบดึงสติกลับมา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “เป็นไปได้ไง? ฉันก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง ในเมื่อเขาไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นฉันวางสายก่อนนะ”
พูดจบแล้ว เสิ่นเฉียวยังไม่ทันรอให้เซียวซู่ตอบโต้กลับจึงรีบวางสายโทรศัพท์
หลังจากที่วางสายแล้ว เสิ่นเฉียวมองดูมือถืออย่างเหม่อลอย แล้วก็คว่ำตัวกลับไปบนเตียง
เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ? เขาอยากไปไหนก็ไป ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรถาม เธอก็ไม่มีสิทธิ์สอบถามด้วย
เสิ่นเฉียวนอนกลับไปบนเตียง มองดูเพดานอย่างเหม่อลอย
เย่โม่เซินไม่ให้เธอไปที่บริษัท เธอเพียงแค่อยู่แต่ในห้องนอน ไม่ไปไหนเลย
อีกทั้งเธอรออยู่ทั้งคืน บ่นอยู่ลึกๆในใจ ตอนนี้ไม่อยากเห็นเย่โม่เซินอีกแล้วจริงๆ
นอนนิ่งอยู่ตั้งนาน มือถือดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เสิ่นเฉียวเหมือนจะตกใจกะทันหัน รีบหยิบมือถือออกมา เธอยังนึกว่าเป็นเย่โม่เซินโทรศัพท์มาหาเธอ ตอนที่เห็นบนหน้าจอเป็นชื่อของห่านเส่โยวนั้น เธอก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง กลับดีใจมากด้วย
“เส่โยว?”
เธออยากจะติดต่อเธออยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับเธอยังไง เส่โยวก็มาหาพอดี เธอสามารถพูดคุยเรื่องราวในใจกับเธออีกด้วย
“เฉียวเฉียว”
ไม่เห็นหน้ากันหลายวัน เสียงของหานเส่โยวฟังดูแล้วเหมือนจะเหนื่อยๆ อีกทั้งเสียงแหบด้วย เหมือนเคยร้องไห้อย่างนั้น
เสิ่นเฉียวตะลึงไปสักพัก แล้วก็ถามไถ่ว่า: “เสียงของแกเป็นอะไรเหรอ?”
“ไม่นิ ไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงของหานเส่โยวฟังดูแล้วเหมือนจะตื่นเต้นร้อนใจ จากนั้นก็พูดหัวเราะเบาๆ: “เฉียวเฉียว ช่วงนี้ความเป็นมิตรของเราจืดจางลงไปไม่น้อยเลยนะ แกกับเสี่ยวเหยียนคนนั้น… …”
พูดถึงเรื่องนี้ ในใจเสิ่นเฉียวก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน เหมือนกับว่าหลังจากที่เขาสองคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกันก่อนหน้านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองคนเยือกเย็นลง ไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอ ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเป็นเพื่อนกันนิ” เสิ่นเฉียวพูดอธิบายด้วยเสียงเบาๆ
“แต่ว่า เธอเหมือนจะมีความอคติโกรธเคืองฉัน แต่ว่าเธอส่งผลกระทบต่อความเป็นเพื่อนระหว่างเราสองคนแล้ว แกยังจะเป็นเพื่อนกับเขาอีกเหรอ?”
“ฉัน… …” เสิ่นเฉียวตะลึงไปสักพัก นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าหานเส่โยวจะพูดแบบนี้ วันนี้เธอโทรศัพท์มาก็เพราะเรื่องนี้หรือ?
ตอนที่เสิ่นเฉียวกำลังมึนงงว่าควรตอบเธอยังไงดี หานเส่โยวพูดขึ้นมาก่อนอีกครั้ง
“ช่างมันเถอะ วันนี้ฉันก็ไม่ได้โทรมาซักถามความผิดถูกกับแกสักหน่อย ฉันอยากชวนแกออกมาพบปะเจอหน้ากัน แล้วก็… …คนอย่างเส่โยวไม่ได้เป็นคนที่ใจแคบขนาดนั้นนิ ฉันรู้ว่าในกลุ่มเพื่อนๆของแกก็ไม่ได้มีเพียงฉันคนเดียว ต้องมีคนอื่นด้วยอยู่แล้ว ฉันไม่โทษแกหรอก”
ได้ยินอย่างนี้แล้ว เสิ่นเฉียวในที่สุดก็มีรอยยิ้มบนหน้าอีกครั้ง
“ดีจังเลยเส่โยว แกไม่ถือสาก็ดีแล้ว ฉันยังสับสนอยู่เลย”
“เราเจอกันที่ร้านเบเกอรี่ที่เจอกันครั้งก่อนดีไหม”
หานเส่โยวชอบทานของหวาน ถึงแม้เสิ่นเฉียวไม่ชอบ แต่ก็ไม่รู้สึกมีปัญหาอะไร ได้แต่พยักหน้า: “แกชอบก็โอเคแล้ว งั้นฉันไปเตรียมตัวก่อนแล้วค่อยไปนะ”
“โอเค”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เสิ่นเฉียวรีบลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นออกไปตามนัดกับหานเส่โยว
หลังจากที่ไปถึงร้านเบเกอรี่แล้ว เสิ่นเฉียวเข้าไปที่ร้านก็มองเห็นหานเส่โยวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง วันนี้เธอใส่ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนๆ ดัดผมได้สวยมาก สีผมเหมือนจะย้อมใหม่
“เฉียวเฉียว ตรงนี้”
หานเส่โยวโบกมือให้เธอ เสิ่นเฉียวเดินไปถึงตรงหน้าเธอแล้วก็นั่งลง เอ่ยปากแล้วก็ถาม: “เส่โยว แกไปทำผมมาใหม่เหรอ?”
เพิ่งจะนั่งลง พนักงานบริการก็เดินมายื่นเมนูให้ บนใบหน้าของเสิ่นเฉียวยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ แต่ในตอนที่เห็นหานเส่โยวหันข้างไปรับเมนูอาหารนั้น เธอตกตะลึงอยู่กับที่ทั้งตัว
เพราะว่าตอนที่หานเส่โยวหันข้างนั้น เธอมองเห็นต่างหูคู่นั้นบนหูของเธอโผล่ออกมาพอดี
หานเส่โยวชอบแต่งตัวมาก เธอใส่ต่างหูอะไรเสิ่นเฉียวก็ไม่เคยรู้สึกแปลก
แต่ว่าต่างหูที่ใส่ในวันนี้ มันเป็นคู่นั้น…….ที่เธอเคยเห็นอยู่ในกล่องอันนั้นของเย่โม่เซินพอดี……ต่างหูที่มีสีชมพู