บทที่ 248 ไม่ปกติทั้งตัว
เสิ่นเฉียวพยักหน้า “มีปัญหาอะไรเหรอ?”
ตอนที่ถามประโยคนี้ เสิ่นเฉียวจ้องมองเย่โม่เซินตลอด คิดอยากจะมองหาสีหน้าที่ไม่เหมือนกันจากตัวของเขา
แต่ครั้งแรก เย่โม่เซินไม่ได้สบตาของเธอ แต่มองที่อื่นอยู่ แล้วพูดอย่างเย็นชา: “ไม่มี”
“อ๋อ งั้นวันนี้ฉันขอลาต่ออีกหนึ่งวัน ฉันออกไปก่อนนะ”
พูดจบ เสิ่นเฉียวหยิบกระเป๋าตนเองขึ้นมาและเดินตรงออกจากประตู
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เย่โม่เซินเรียกเธอให้หยุดกะทันหัน
เสิ่นเฉียวหยุดเดินกะทันหัน เย่โม่เซินไม่ได้สังเกตเลยสักนิด ว่าหน้าของเสิ่นเฉียวที่หันหลังให้เขา ไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด เหมือนเป็นคนละคน ไม่เหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเขา
“คุณแน่ใจว่าคุณจะไปหาแค่เธอคนเดียว? ไม่ไปหาคนอื่น?”
ได้ยินดังนั้น เสิ่นเฉียวหันหน้ากลับมายิ้มให้เย่โม่เซิน
“หรือคุณรู้สึกว่าฉันจะนัดและไปกับชายอื่นลับหลังคุณงั้นเหรอ?”
เย่โม่เซินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ สายตาแหลมคมเหมือนนกอินทรีย์ที่กำลังจ้องเธออยู่
“วางใจเถอะ ฉันไม่มีความสนใจกับเรื่องพวกนั้น ถึงแม้ฉันจะนัดกับผู้ชายไว้จริงๆ ก็คงไม่ทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าคุณหรอก”
พูดจบแล้ว เสิ่นเฉียวออกจากห้องโดยตรง
มองดูด้านหลังของเธอแล้ว เย่โม่เซินไม่รู้ทำไม รู้สึกเหมือนกำลังจะเสียอะไรไป
ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เขาไม่รู้จะทำยังไงดี
ลงไปถึงชั้นล่าง เสิ่นเฉียวเจอกับเย่หลิ่นหานที่กำลังจะออกจากบ้านพอดี
ตอนที่ทั้งสองคนสบตากัน สายตาของเย่หลิ่นหานตกตะลึงนิดๆ แต่กลายเป็นสงสัยอย่างรวดเร็ว ปกติไม่ค่อยแต่งหน้าอย่างเธอ วันนี้แต่งหน้าออกมาเช่นนี้อย่างกะทันหัน?
เขายังไม่ทันโต้ตอบ เท้าของเขาได้เก้าไปหาเธอแล้ว
“เฉียวเฉียว จะออกไปข้างนอกเหรอครับ?”
เขาถาม
เสิ่นเฉียวพยักหน้า: “อื้ม พี่ชายใหญ่ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
พี่ชายใหญ่คำนี้ทำให้สายตาของเย่หลิ่นหานหม่นหมองลง สักพักเขาเหมือนจะคิดอะไรได้และยิ้มออกมา: “อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้แต่งตัวออกไปข้างนอกซะสวยขนาดนี้ จะไปพบคนสำคัญคนไหน?”
“ไม่ใช่ แค่ไปเดินช้อปปิ้งกับเพื่อนเท่านั้นค่ะ”
“ต้องการให้ผมไปส่งคุณไหม?” เย่หลิ่นหานขยับกุญแจรถในมือ “ผมก็กำลังจะออกไป”
ตอนแรกเสิ่นเฉียวคิดว่าจะปฏิเสธไปเลย แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้น หางตาเหมือนจะมองเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย เสิ่นเฉียวหยุดคิดสักพัก จากนั้นพยักหน้า: “ได้ค่ะ”
เย่หลิ่นหานไม่ใช่ไม่สังเกตเห็นกิริยาอาการของเธอ เขายิ้ม: “งั้นไปกันเถอะ”
“อื้ม” เสิ่นเฉียวเดินตรงไปข้างหน้า เย่หลิ่นหานเงยหน้าขึ้นมาทันที สายตามองไปคนที่อยู่ข้างบนไกลๆ สบตากับแววตาที่เหมือนนกอินทรีย์คู่นั้นพอดี
ปกติเป็นคนที่อ่อนโยนอย่างเขาในตอนนี้ กำลังยิ้มอย่างได้ใจ จากนั้นหันตัวรีบเดินตามฝีเท้าของเธอ “ทานอาหารเช้าหรือยัง? เดี๋ยวแวะข้างทางทานอาหารเช้าด้วยกันไหม?”
เสิ่นเฉียวกระพริบๆตา จากนั้นพยักหน้า: “ดีค่ะ”
เย่หลิ่นหานไม่รู้ว่าระหว่างเธอกับเย่โม่เซินเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอเปลี่ยนไปมากอย่างกะทันหัน แต่สำหรับเขาไม่มีความหมายมาก เขาขอแค่เสิ่นเฉียวยอมให้โอกาสเขาเข้าใกล้ เขาก็จะมีเวลาแสดงความรู้สึกของตนเองกับเธอ
แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากขึ้นรถแล้ว เสิ่นเฉียวถึงจะหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความให้หานเส่โยวทางวีแชท ชวนเธอไปเจอกันที่ร้านชานมแถวๆโรงเรียนในวันนี้
ได้ยินเธอพูดถึงร้านชานม หานเส่โยวตอบกลับเธอด้วยเครื่องหมายคำถาม
จากนั้นส่งข้อความมาอีกอย่างรวดเร็ว: “ทำไมนัดพบกันที่ร้านชานมกะทันหันล่ะ?”
เสิ่นเฉียวตอบหนึ่งคำด้วยสีหน้าที่นิ่งๆ: “อยากไปดื่มชานมที่นั่นกะทันหัน แกยอมไปเป็นเพื่อนฉันไหม?”
ทางโน้นเงียบไปสักพัก จากนั้นตอบเธอหนึ่งคำว่า “ได้” เสิ่นเฉียวบอกเวลากับเธอ แล้วก็วางมือถือไว้ข้างๆ
“มีนัดกับเพื่อน?” เห็นเธอวางมือถือลง เย่หลิ่นหานถามไปหนึ่งคำอย่างไม่ตั้งใจ
เสิ่นเฉียวพิงเบาะที่นั่งและต้นไม้สิ่งก่อสร้างด้านนอกหน้าต่างที่กำลังผ่านไปเรื่อยๆ แล้วก็พยักหน้า
ถึงแม้ว่าตอนนี้แดดจ้า อีกทั้งในเมืองนี้มีคนเยอะมาก เสื้อบนตัวของเธอก็หนาด้วย แต่ว่าเสิ่นเฉียวก็ยังรู้สึกว่าหนาวมาก อีกทั้ง……ยังโดดเดี่ยวและเหงามาก
เย่หลิ่นหานขับรถและมองเธออยู่ สังเกตเห็นว่าวันนี้อารมณ์ของเธอในวันนี้ไม่เหมือนเดิมทั้งคนเลย รู้สึกไม่ดีมาก
เขาขมวดคิ้วขึ้น ถามอย่างน่าเป็นห่วง: “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ได้ยังแล้ว เสิ่นเฉียวตะลึงนิดๆ จากนั้นก็ส่ายหัว: “ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรนิ”
“วันนี้คุณไม่ค่อยปกติทั้งคนเลยนะ”
“ใช่เหรอ?” เสิ่นเฉียวหัวเราะเบาๆและยิ้ม: “คงเป็นเพราะว่าฉันแต่งหน้าแต่งตัวมั้ง”
เธอพูดค่อยๆอย่างใจเย็น เหมือนไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลยสักนิด
ถามแล้วไม่ได้คำตอบ อีกทั้งเธอไม่ต้องการพูด เย่หลิ่นหานได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป “มื้อเช้า อยากทานอะไร?”
“พี่ชายใหญ่เป็นคนตัดสินใจเองก็พอ ฉันอะไรก็ได้” เสิ่นเฉียวตอบเหมือนไม่มีอารมณ์ จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
เย่หลิ่นหานมองดูเธอแล้วเหมือนเหนื่อยล้ามาก จึงไม่พูดจากับเธออีก แล้วก็ขับรถเร็วขึ้น
ไม่รู้ขับมานานเท่าไหร่แล้ว รถถึงที่แล้วก็จอด เสิ่นเฉียวนอนหลับแล้ว ถูกเย่หลิ่นหานเรียกหลายครั้งถึงจะตื่นขึ้นมา จากนั้นตอนที่ลืมตาคู่นั้นที่เพิ่งตื่นและมองไปที่เย่หลิ่นหาน เขาก็กำลังมองเธออย่างหลงใหล: “ถึงแล้ว เตรียมตัวลงรถเถอะครับ”
เสิ่นเฉียวมองหน้าเขาอย่างนิ่งเฉยสักพักถึงค่อยๆมีสติตื่นมา
“ค่ะ”
เธอเปิดเข็มขัดนิรภัยออก จากนั้นจะเอามือไปขยี้ตา แต่มือกลับถูกเย่หลิ่นหานจับไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความตกใจ
“พี่?”
เย่หลินหานหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกมาดีดบนหน้าผากเธอ: “คิดอะไร? คุณแต่งหน้าอยู่ เอามือไปขยี้ เดี๋ยวหน้าจะลายไปหมดนะ”
เสียงของเขาอ่อนหวานจนไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไงดี เหมือนสำลีที่ม้วนเข้าไปลึกๆในใจของเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียวได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองแต่งหน้าอยู่นี่นา ใช้มือขยี้แล้วต้องลายไปหมดแน่ๆ
คิดแล้ว เธอพยักหน้า: “ฉันรู้แล้วน่า”
จากนั้นดึงมือตนเองกลับไป แค่กระพริบๆตา จากนั้นเย่หลิ่นหานก็ลงจากรถด้วย
ตอนที่ทานอาหารเช้า เสิ่นเฉียวก็ยังเหม่อลอยเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อาหารหลายอย่างวางไว้ตรงหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่โชยไปมา แต่สีหน้าบนหน้าของเธอก็ยังนิ่งๆ ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย
เย่หลิ่นหานคีบเกี๊ยวให้เธอหนึ่งลูกไว้ที่ถ้วยของเธอ: “เหมือนคุณจะไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารการกินเท่าไหร่นะ”
เขาพูดกับตนเอง สติเสิ่นเฉียวจึงถูกดึงกลับมา
“อ๋อ ก็ดีนี่คะ ใช้ได้” เธอยิ้มอย่างเกรงๆ จากนั้นกินเกี๊ยวเข้าไป
เหมือนกำลังกินของที่ไม่มีสีสันไม่มีรสชาติอย่างนั้น เห็นเช่นนี้แล้ว ในที่สุดเย่หลิ่นหานก็อดใจไม่ไหว แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาวางตะเกียบลง
“เฉียวเฉียว บอกพี่มาซิ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?”
เสิ่นเฉียวมองหน้าเขาอย่างนิ่งๆ
“ระหว่างคุณกับเย่โม่เซิน เมื่อคืน……เกิดอะไรขึ้น? อย่าคิดปิดบังผม วันนี้คุณเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
คิดตั้งนานสักพักหนึ่ง เสิ่นเฉียวจึงยิ้มอย่างปกติ: “พี่ชายใหญ่พี่คิดมากไปแล้ว เมื่อกี้ฉันแค่กำลังคิดว่าเดี๋ยวไปช้อปปิ้งกับเพื่อนจะไปที่ไหนดีเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงคิดเพลินไปหน่อย ระหว่างฉันกับเย่โม่เซินไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย”
พูดถึงตรงนี้แล้ว เธอหยุดไปสักพัก จากนั้นจ้องมองเย่หลิ่นหาน: “เมื่อคืนพี่พูดอะไรไว้ ลืมไปแล้วเหรอคะ? พี่จะไม่บังคับฉันทำอะไร งั้นก็คงไม่บังคับให้ฉันพูดด้วย?”
เย่หลิ่นหานถึงกับพูดไม่ออก สักพักหนึ่งจึงเอ่ยปากพูดอย่างอึดอัดใจ: “คุณกำลังว่าผมยุ่งเรื่องมากไปเหรอครับ?”