บทที่ 249 เป็นศัตรูหัวใจหรือ
“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณไม่อยากพูด พี่จะไม่บังคับให้พูดอีกแล้ว” เย่หลิ่นหานคีบเกี๊ยวอีกอันให้เธอในถ้วย: “แต่คุณผอมเกินไป ต้องกินเยอะๆหน่อย”
“อื้ม ขอบคุณค่ะพี่ชายใหญ่” เสิ่นเฉียวพูดขอบคุณเขา จากนั้นก็กินลงไปอีกหนึ่งอัน
เสิ่นเฉียวทานอาหารเช้าแบบเหม่อลอยเช่นนี้จนเสร็จเรียบร้อย ตอนที่จะจากกัน เย่หลิ่นหานยังไม่วางใจให้เธอไปคนเดียว ตักเตือนและเน้นย้ำตั้งนานจึงจะปล่อยให้เธอไปคนเดียว
สุดท้ายแล้วเสิ่นเฉียวขึ้นรถประจำทางไปคนเดียว ตอนที่นั่งอยู่บนรถประจำทาง เธอก็นั่งเหม่อและคิดอะไรไปเรื่อยๆอีก
วันนี้เธอต้องคุยยังไงกับหานเส่โยวให้ชัดเจนกับเรื่องนี้?
เสิ่นเฉียวรู้สึกสับสนวุ่นวายตลอดทาง นั่งรถเมล์จนเลยป้ายก็ยังไม่รู้ จนเธอรู้ว่าตนเองนั่งเลยป้ายแล้ว จึงรีบตะโกนบอกให้หยุด แล้วก็ลงจากรถ
หลังจากลงรถแล้ว เสิ่นเฉียวรู้สึกเบื่อหน่ายทั้งคน ยื่นมือไปกดตรงหว่างคิ้วที่กำลังปวดอยู่ของตนเอง
มือถือเกิดสั่นขึ้นมาหนึ่งครั้ง เสิ่นเฉียวก้มหน้าลงไปดูเป็นข้อความที่หานเส่โยวส่งมาในวีแชท ถามเธอว่าทำไมยังไม่ถึง
เสิ่นเฉียวจึงตอบข้อความกลับไปว่า: “ฉันนั่งเลยป้ายแล้ว เดี๋ยวจะรีบไป!”
จากนั้นตอนที่เตรียมตัวจะเดินไปนั่งรถเมล์ไปฝั่งตรงข้าม มีรถคันหนึ่งหยุดตรงหน้าของเธอ จากนั้นเปิดกระจกรถลงมา
“ขึ้นรถสิ” สายตาของเย่หลิ่นหานที่อ่อนโยน มองดูเธออย่างอัดอั้นใจ
มองเห็นเป็นเย่หลิ่นหาน เสิ่นเฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและจ้องมองเขาด้วยความตะลึง: “พี่ชายใหญ่ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้? คุณไม่ใช่ควรจะ……” ไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทั้งๆที่เธอนั่งเลยมาหลายป้ายแล้ว เขาน่าจะไม่ควรมาอยู่ที่นี่ถึงจะถูก
“เด็กโง่ ผมเห็นคุณจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่เช้า จะวางใจให้คุณนั่งรถเมล์ประจำทางคนเดียวได้ไง? แต่คุณก็ไม่ยอมให้ผมไปส่งคุณ ผมจึงต้องตามคุณมา”
พูดจบแล้ว เย่หลินหานก็ยิ้มๆ พูดอย่างอ่อนโยน: “รีบขึ้นรถเถอะ”
หานเส่โยวกำลังรอเธออยู่ นั่งจากป้ายนี้ไปคงต้องใช้เวลาสิบกว่านาที เสิ่นเฉียวรู้สึกเกรงใจไม่อยากให้เธอรออีก จึงต้องรีบขึ้นรถ
หลังจากขึ้นรถแล้ว เย่หลิ่นหานเตือนให้เธอรัดเข็มขัดนิรภัยให้ดี จากนั้นส่งเธอไปที่นัดหมาย
“ไปเถอะ ระวังความปลอดภัยด้วย”
เย่หลิ่นหานนวดๆที่หัวของเธอ ให้เธอรีบไป เสิ่นเฉียวมองหน้าเขาอย่างนิ่งเฉย จากนั้นพยักหน้าและเดินจากไป
ที่ตรงนี้ห่างจากที่นัดหมายใช้เท้าเดินระยะทางประมาณสองนาที เสิ่นเฉียวจึงรีบเดินไปจนถึงที่นัดหมาย
ถึงแม้จบจากโรงเรียนไปไม่นาน แต่ร้านชานมร้านนี้ก็ยังมีลูกค้าวนเวียนไปมาเยอะมาก อีกทั้งส่วนมากเป็นนักเรียนที่อยู่ละแวกนี้ หน้าตาของเสิ่นเฉียวหลังจากแต่งหน้าแล้วดูสวยงามดึงดูดตาเป็นพิเศษ ตอนที่เดินเข้าร้านยังดึงดูดสายตาของผู้คนเยอะแยะ ผู้ชายที่ดูท่าทางเป็นนักเลงที่นั่งอยู่ในร้านยังผิวปากให้เธอด้วย
เสิ่นเฉียวทำเหมือนมองไม่เห็นจึงเดินอ้อมไป เธอมองเห็นหานเส่โยวที่นั่งอยู่มุมนั้นแล้ว
หานเส่โยวในวันนี้ก็ยังใส่ชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนเดิม ชายกระโปรงจะพองๆบานๆหน่อย มองดูแล้วอมชมพูๆเหมือนองค์หญิงน้อย
หานเส่โยวกำลังเจาะไข่มุกที่อยู่ในแก้วชานมอยู่อย่างเบื่อหน่ายมาก ท่าทางบนใบหน้าเหมือนเบื่อจนอึดอัดใจอย่างมาก มีผู้ชายอยากเดินเข้าขอเบอร์โทรของเธอ กลับถูกเธอหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาและไล่ด่ากลับไป: “หลีกไปไกลๆคนน่ารังเกียจ คู่ควรกับฉันได้เหรอ?”
ชายคนนั้นถูกเธอด่าจนหน้าแดง “คุณ คุณไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้ ทำไมต้องด่าคน?”
หานเส่โยวจ้องหน้าเขาอย่างเย่อหยิ่ง: “รู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร? กล้าขอเบอร์ติดต่อกับฉัน? ถ้ายังกล้ายุ่งกับฉันอีก ฉันจะไม่เพียงแค่ด่าคนง่ายๆแค่นี้แล้วนะ!”
ผู้ชายคนนั้นทำอะไรไม่ถูกอย่างอึดอัดใจ แต่ยังขี้ขลาดด้วย จึงหันหลังเดินออกไป ใครจะรู้ว่าหันไปก็ชนกับตัวเสิ่นเฉียวที่กำลังเดินมา เสิ่นเฉียวถูกเขาชนถอยหลังไปสองเก้า จนเกือบจะหกล้ม
“อ่าขอโทษครับ!” ผู้ชายคนนั้นรู้ว่าตนเองชนคนอื่นจึงรีบร้อนขอโทษ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นหน้าของเสิ่นเฉียว ตกตะลึงจนตาโตยืนอยู่กับที่ ในตาแสดงอาการตกตะลึงในความสวยงามของเธอ
นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะโชคดีขนาดนี้ เพิ่งจะพูดสาวสวยคนหนึ่งปฏิเสธ แล้วก็ไปชนกับคนสวยอีกคนหนึ่ง
“คนสวยสวัสดีครับ ผมชื่อ……” ผู้ชายจะเดินหน้าไปคุยกับเสิ่นเฉียว หานเส่โยวยืนขึ้นมาผลักเขาออกไปโดยตรง พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะทน: “คุณหลีกไปให้พ้น เฉียวเฉียว แกทำไมเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ แกรู้หรือไม่ว่าฉันรอแก…….”
พูดถึงตรงนี้แล้ว หานเส่โยวตะลึงจนหยุดชะงัก
เธอจ้องมองเสิ่นเฉียวที่ใส่กระโปรงยาวยืนอยู่ตรงหน้า “แก แกทำไม……”
เสิ่นเฉียวยิ้มให้เธอ แล้วก็หันไปบอกผู้ชายข้างๆด้วยเสียงเบาๆ: “ฉันไม่เป็นไร คุณไปเถอะ”
พูดจบแล้วก็เดินอ้อมไปนั่งลงตรงข้ามของหานเส่โยว หานเส่โยวยังกำลังนั่งเหม่ออยู่ ผู้ชายคนนั้นหลงใหลรอยยิ้มของเสิ่นเฉียวจนยืนอยู่กับที่ตั้งนานยังไม่ได้สติ
โอ้พระเจ้า นางฟ้าชัดๆ!
อ่อนหวานขนาดนี้ รอยยิ้มก็สวยมาก!
หานเส่โยวตั้งนานกว่าจะดึงสติกลับมา สายตาของเธอมองดูเสิ่นเฉียวอย่างสับสน เมื่อก่อนเธอไม่แต่งหน้ายังไม่รู้ เสิ่นเฉียวในวันนี้ที่แต่งหน้าอย่างจริงจัง ทำให้ความสวยความสง่างามแสดงออกมา ดึงดูดตามาก
ถึงแม้ เธอจะแต่งหน้าอ่อนๆ
แต่ว่าความอ่อนโยนและรอยยิ้มบนหน้าของเธอ ยังมีดวงตาที่เย็นชานั้นแสดงความสง่างามออกมาด้วย เหมือนกันกับ……ผู้หญิงที่อยู่ในรูปนั้นจริงๆ
กิริยาท่าทางทุกอย่าง…….หรือว่า นี่เป็นพลังของสายเลือดหรือ?
นึกถึงตรงนี้ ในใจของหานเส่โยวสะเทือนอย่างแรงสักพัก ไม่ได้! เสิ่นเฉียวในแบบนี้หน้าเหมือนคุณนายหานมากเกินไปจริงๆ ถ้าให้หานชิงเห็นเสิ่นเฉียวที่เป็นเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่น หานเส่โยวจึงต้องเก็บกดความวุ่นวายในใจไว้ ยิ้มให้เสิ่นเฉียวอย่างแหบแห้ง: “เฉียวเฉียว แก……วันนี้ทำไมมีอารมณ์แต่งหน้าแต่งตัวล่ะ? อีกทั้งยังแต่งได้สวยขนาดนี้?”
ได้ยินแล้ว เสิ่นเฉียวมองหน้าเธออย่างแปลกใจ: “เมื่อก่อนแกอยากให้ฉันแต่งตัวมาตลอดไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ฉันคิดได้แล้ว ผู้หญิงต้องรักตัวเองให้มากๆ”
พูดจบ เสิ่นเฉียวยังหันไปยิ้มให้เธอ: “เส่โยว แกว่าฉันเป็นแบบนี้ไม่ดีเหรอ?”
สีหน้าบนใบหน้าของหานเส่โยวแข็งกระด้าง พยักหน้าอย่างลำบากใจ: “ดีสิ ดีจริงๆ”
แค่เธอสวยขึ้น ก็จะเป็นภัยที่กดดันข่มขู่เธอ
ทันใดนั้น หานเส่โยวรู้สึกว่าปีศาจที่อยู่ลึกๆข้างในใจของเธอเริ่มสั่นสนั่นหวั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
เสิ่นเฉียวไม่รู้ว่าในใจของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้าของเธอก็ยังสามารถดูอะไรออกได้บ้าง ดังนั้นจึงแกล้งถามหนึ่งคำว่า: “ดูแล้วแกเหมือนจะไม่ค่อยดีใจ?”
ได้ยินดังนั้น หานเส่โยวสีหน้าเปลี่ยนไป รีบอธิบายแทนตนเอง: “อะไร? จะเป็นไปได้ไง? ฉันจะไม่ดีใจได้ไง? แกสวยขึ้นแล้วฉันดีใจไม่ทันเลย?”
“ใช่เหรอ? งั้นแกคิดว่า……หลังจากที่ฉันสวยขึ้นแล้ว เย่โม่เซินจะชอบฉันไหม?”
สีหน้าบนใบหน้าของหานเส่โยวในตอนนี้แทบจะเก็บอาการไม่ไหวแล้ว เธอจ้องมองเสิ่นเฉียวตรงๆ “เฉียวเฉียว แก……แกหลงรักเขาแล้วจริงๆเหรอ?”
เสิ่นเฉียวยิ้มเล็กน้อย: “ใช่สิ ฉันชอบเขาจริงๆ”
“แต่ว่า……”
“แต่ว่าอะไร?”
“……” หานเส่โยวพูดแล้วก็หยุด ตรงหน้าก็เห็นภาพที่เธอช่วยเหลือตนเองโผล่ออกมา รู้สึกว่าคำพูดที่กำลังจะออกจากปากกลับพูดไม่ออกสักคำ
เสิ่นเฉียวเห็นเธอมองตนเองไม่พูดอยู่นาน รอยยิ้มบนหน้าค่อยๆจืดจางไป ผ่านไปสักพักเธอจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา: “แต่ว่าแกก็ชอบเขาเหมือนกัน ดังนั้นเรากลายเป็นศัตรูหัวใจกันแล้ว ใช่ไหม?”