บทที่ 260 เจอหานชิงอีกแล้ว
ตกกลางคืน ประกายไฟของเมืองก็สว่างขึ้น
เข้าฤดูใบไม้ร่วงนานมากแล้ว ตอนนี้ลมแรงขึ้นมาก บางครั้งก็พัดบนถนน ก็จะมีความรู้สึกที่จะเข้าฤดูหนาวแล้ว
ก็เหมือนเสิ่นเฉียวตอนนี้ ตอนนี้ออกมาข้างนอกลืมเอาเสื้อคลุมมาสักตัว ยืนอยู่ที่ถนนหนาวจนสั่นไปหมด
เธอไม่ได้ไปบริษัททั้งวัน แล้วไปตรวจที่โรงพยาบาล
ถึงแม้จะท้องสักพักแล้ว ร่างกายของเธอค่อนข้างไม่ค่อยดี เพราะว่าเป็นกังวลเลยไปตรวจดูสักหน่อย
ผลออกมาทำให้เธอชอบมาก
หมอบอกว่าลูกค่อนข้างแข็งแรง แค่ร่างกายของเธออ่อนแอมาก ต้องบำรุงให้มากขึ้นถึงจะดี ไม่งั้นพอถึงเวลาเด็กโภชนาการของจะไม่เพียงพอ
แค่เธอได้ให้กำเนิดลูกคนนี้ จากนั้นบนโลกก็จะมีคนในครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
เธอกำลังคิด ต่อไปเลิกกับเย่โม่เซินแล้ว ต้องไปหางานทำใหม่ให้ดีๆ จากนั้นพยายามเลี้ยงลูกให้โตคนเดียว สอนเขาอ่านหนังสือเขียนตัวหนังสือ จากนั้นลูกก็จะอยู่ข้างหลังคอยตามเธอวิ่งและกระโดด
คิดถึงภาพเหล่านี้ เสิ่นเฉียวใจอ่อนราวกับแอ่งน้ำ
ความรู้สึกนี้ดีมาก
คนในครอบครัวของตัวเองอ่ะ
เสิ่นเฉียวนานแล้วที่ไม่มีความรู้สึกที่มีคนในครอบครัวอะไรแบบนี้
ถึงแม้เธอจะเป็นลูกสาวตระกูลเสิ่น แต่ไม่รู้ทำไม เธอไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นของคนในครอบครัว
ลมพัดมาอีกครั้ง เสิ่นเฉียวตัวสั่นจากความหนาวเย็น เอื้อมมือไปกอดแขนโดยไม่รู้ตัว
ไฟของรถคันหนึ่งสาดเข้ามาจากระยะไกล เสิ่นเฉียวถูกส่องจนลืมตาไม่ได้ รอไฟมืดลง เธอถึงรู้ว่ารถหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
หน้าต่างรถเลื่อนลง หน้าตาหล่อเหลาที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ต่อหน้าเสิ่นเฉียว
“คุณหนูเสิ่น เมื่อกี้มองไกลๆ คิดว่าเป็นคุณ คิดไม่ถึงว่าพอมาใกล้ๆ ก็เป็นคุณจริงๆ ”
เสิ่นเฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เห็นซูจิ่วเปิดประตูรถแล้วเดินลงมา แล้วหานชิงที่นั่งอยู่หลังสีหน้าเย็นชา
คิดไม่ถึงว่าจะเจอพวกเขาที่นี่
“กี่ครั้งที่เจอคุณก็เจอที่โรงพยาบาล คุณหนูเสิ่นไม่ค่อยสบายหรอ? ซูจิ่วถามด้วยความห่วงใย เสิ่นเฉียวยิ้มเล็กน้อยและส่ายหน้า : “ เปล่าค่ะ เพียงแค่มาตรวจเป็นประจำอยู่แล้วค่ะ แล้วพวกคุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ? ”
“ผ่านมาที่นี่ เห็นไกลๆ เหมือนคุณหนูเสิ่น ก็เลยวนกลับมาดู คิดไม่ถึงว่าจะเจอ กำลังรอรถหรอ? ”
เสิ่นเฉียวค่อนข้างทำตัวไม่ถูก หน้าขาวๆ ถูกลมพัดจนแดงๆ พยักหน้า : “อืม”
“ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวพาคุณไปเพราะเป็นทางผ่านของพวกเรา”
ได้ยิน เสิ่นเฉียวทำตัวไม่ถูกส่ายหน้า : “น่าจะไม่ค่อยเป็นทางผ่านนะ ไม่เป็นไร ฉันรออีกสักครู่ได้ ”
“ขึ้นรถ ” หานชิงเห็นเธอปฏิเสธ ขมวดคิ้วแล้วพูด
น้ำเสียงของเขาเย็นชา ฟังไม่ออกว่ามีอารมณ์ใดๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความยับยั้ง เสิ่นเฉียวนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็เปิดประตูรถและขึ้นรถไปโดยดี
หลังจากขึ้นรถ หานชิงเห็นเธอใส่เสื้อผ้าบาง ริมฝีปากสีชมพูโดนลมพัดจนแห้ง อดไม่ได้ที่จะถาม : “รอมานานแค่ไหนแล้ว? ”
“ก็ไม่ได้นาน พึ่งออกมาเอง ”
“พูดโกหกไม่ใช่นิสัยที่ดีอะไร” หานชิงดึงสายตากลับมา น้ำเสียงดูไม่พอใจ : “แม้ว่าคุณจะคิดว่านี่เป็นเรื่องโกหกด้วยความหวังดี”
ซูจิ่วซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้าดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ มองจากกระจกมองหลังไม่ดูเสิ่นเฉียว สุดท้ายเห็นเสิ่นเฉียวสีหน้าเก้อเขิน จากนั้นเสิ่นเฉียวมองไปที่หานชิง อ้าปาก หลังจากนั้นไม่นานก็ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูจิ่วยกมุมปากขึ้น รีบพูดออกมา : “คุณหนูเสิ่นอย่าถือสา ประธานหานของพวกเราเป็นคนแข็งๆ แต่มีเจตนาที่ดี”
ได้ยินแล้ว หานชิงขมวดคิ้ว : “เรื่องมาก”
ซูจิ่วยิ้มเบาๆ หันหัวกลับไป และไม่พูดอะไรอีก
บรรยากาศในรถดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เสิ่นเฉียวกะพริบตา ที่จริงเธอไม่ได้ถือสาอะไร แค่เพียงเธอคิดไม่ถึงว่าหานชิงจะเจาะจงเรื่องโกหกของเธอ
ในรถกลับมาสงบ ในรถอุณหภูมิค่อนข้างสูง เสิ่นเฉียวที่หนาวอยู่ข้างนอกหลังจากนั่งลงก็อบอุ่นขึ้นเยอะ ถึงแม้ฝ่ามือยังคงเย็นอยู่
หานชิงน่าจะสังเกตเห็นเเล้ว ทันใดนั้นยกมือขึ้นเพื่อปลดกระดุมเสื้อสูท จากนั้นถอดเสื้อสูทออกมาให้เธอ
“ใส่ไว้เถอะ”
ได้ยินแล้ว ทันใดนั้นเสิ่นเฉียวจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ : “ไม่ ไม่เป็นไร……”
“ทำไม? ” หานชิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงยังคงเย็นชา : “เขาโรงพยาบาลยังไม่พอหรอ? ถึงตอนเป็นหวัดเดี๋ยวก็ต้องไปอีก ใส่ไว้”
น้ำเสียงเขาแข็งไม่ยอมให้ปฏิเสธง่ายๆ แต่ว่าเสิ่นเฉียวก็ไม่อยากรับเสื้อของเขา เพราะเธอคิดว่า…..หานชิงทำดีกับเธอเกินไปแล้ว
นี่ทำไมกัน?
เห็นเธอไม่รับ ซูจิ่วก็พูดว่า : “คุณหนูเสิ่นใส่ไว้เถอะ ทางยังอีกไกลนะ เมื่อกี้คุณก็ถูกลมพัดอยู่เป็นครึ่งชั่วโมงนะ ใส่ก่อนเถอะ อีกแป๊บตอนลงรถหยิบออกก็ไม่สาย ”
ไม่ว่าจะยังไง เสิ่นเฉียวก็ไม่ยอมรับสูทตัวนั้น
หานชิงขมวดคิ้ว สักพักก็ยื่นมือไปเอาสูทคลุมไปที่ตัวของเสิ่นเฉียว การกระทำของเขาไวมาก ใกล้ถึงเสิ่นเฉียวก็ปฏิเสธไม่ทัน สูทที่มาพร้อมกับความอุ่นของเขาก็มาถึงบนตัวเธอแล้ว จากนั้นก็คลุมไหล่ผอมๆ ของเธอไว้หมด
“นี่……” เสิ่นเฉียวเงยหน้า อยากจะพูดอะไรกับเขา แต่กลับเห็นคิ้วที่มุ่งมั่นของหานชิงพอดี
เสิ่นเฉียวอึ้งอยู่ตรงนั้น
สายตาของเขาบังคับ มุ่งมั่น “ใส่ไว้ อย่าถอดออกมา”
จากนั้นเขาก็เอามือกลับไป กลับไปนั่งที่ของตัวเอง
เสิ่นเฉียวเงียบไป ก้มหน้ามองสูทที่อยู่บนตัว แล้วดูหน้าหานชิงอย่างละเอียดอีกที
ก็ไม่รู้ว่าทำไม ทันใดนั้นในใจก็มีความรู้สึกแข็งแรงขึ้นมา
ความรู้สึกนั้น จะบรรยายยังไง?
เหมือนกับว่าเป็น…..ญาติ….
ถึงแม้ความรู้สึกนี้ช่างไร้สาระสำหรับเสิ่นเฉียวมาก แต่หานชิงให้ความรู้สึกกับเธอเหมือนกับ…..พี่ชายที่ดีมากคนนึง
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก้มหน้าลงดูกระโปรงตัวเอง
เธอคิด อาจจะเป็นเพราะไม่นานมานี้เรื่องเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เธอตื่นตกใจเกินไป ดังนั้นถึงได้เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น?
อีกอย่างหานชิงก็เป็นคนที่มั่นคงมากคนนึง เป็นคนที่ทำให้คนมีความรู้สึกปลอดภัย ดังนั้นเธอถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้
คิดถึงตรงนี้ ในใจเสิ่นเฉียวถึงสบายขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นริมฝีปากสีแดงก็ค่อยๆ ง้างออกมาเล็กน้อย พูดกับหานชิงประโยคนึงขอบคุณ
ได้ยินเธอขอบคุณ หานชิงอึ้ง มุมตาก็เหลือบไปมองเธอ
พอดีเสิ่นเฉียวใส่เสื้อสูทนั่งอยู่ที่นั่น ก้มหัวลง ปอยผมห้อยลงมาคลุมครึ่งแก้ม แต่ขนตายาวทอดเงารูปพัดรอบดวงตาของเธอ
หัวใจของหานชิงเต้นอย่างกะทันหัน
ท่าทางของเธอตอนนี้……
เหมือนมากจริงๆ
จะมีคนสองคนที่เหมือนกันมากขนาดนี้ได้ยังไง?
ถ้าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหาน ทำไมอารมณ์บนตัวเธอถึงเหมือนคนนั้นขนาดนั้น?
ความเย่อหยิ่งบนร่างกาย ยังมีความเย็นชาในดวงตา เหมือนกันทุกอย่าง
“เธอ…..” ริมฝีปากบางๆ ของหานชิงขยับไปมา ทนไม่ไหวมองที่เธอ “คุณหนูเสิ่นในครอบครัวมีญาติกี่คน? ”
ซูจิ่วที่อยู่ข้างหน้าได้ยิน อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ นายหานสุดท้ายเริ่มมีปฏิกิริยาแล้วหรอ?
ที่จริงเขาก็มองไม่ออกว่าหานชิงจะทำอะไรกับเสิ่นเฉียว ถ้าจะพูดว่าเขาอยากจะจีบเสิ่นเฉียว แต่เขาดูสายตาเสิ่นเฉียวไม่มีใจให้สักนิด แต่ผู้ชายไม่ทำดีกับผู้หญิงโดยไม่มีเหตุผล ถ้าหากไม่ใช่อยากจะจีบเธอ งั้นทำไมต้องทำดีกับเธอขนาดนั้นล่ะ?
เรื่องนี้ ซูจิ่วคิดก็ไม่เข้าใจ และก็มองไม่ออก