บทที่266 ผู้หญิงที่ยอมรับอย่างแน่นอน
เซียวซู่เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า ด้วยสีหน้านิ่งสงบ ครู่ต่อมาเขาก็พูดขึ้นอย่างเรียบนิ่ง: “คุณดูผิดแล้ว”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือออกไปจับที่คอเธอแล้วโน้มเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วพูดกับเธอนิ่ง ๆ: “ผมส่งคุณกลับห้องนะ”
เสี่ยวเหยียนยังคงตกตะลึง เธอถูกลากออกไปก่อนที่เธอจะตอบสนอง
จากนั้นเมื่อกลับถึงห้องของตนเอง เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าตนสร่างเมาไปกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว!
“เมื่อกี้…ฉันเห็นคุณชายเย่…”
“คุณดื่มจนเมาแล้วล่ะ” เซียวซู่มองดูเธอด้วยสีหน้าเย็นชา: “ไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น”
“ใช่ ใช่ไหม?” เสี่ยวเหยียนกะพริบตาและถาม ท่าทางเงอะงะทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่ว่าเมื่อครู่เธอเห็นจริง ๆ ว่า…ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้น
นั่นมันคืออะไรกันล่ะ? คุณชายเย่พิการไม่ใช่เหรอ? ทำไม…ถึงยืนอยู่ตรงนั้นได้?
“ใช่” เซียวซู่จ้องมองเธออย่างดุดันและตั้งใจ: “ตอนนี้คุณต้องพักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ”
“อ้อ” เสี่ยวเหยียนพยักหน้าอย่างว่าง่ายจากนั้นจึงหันหลังและเดินไปที่ข้างเตียงของตนเอง เมื่อเดินถึงข้างเตียงแล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนทันที เธอนอนแผ่หลา เอียงศีรษะและหลับไปอย่างรวดเร็ว
เซียวซู่ที่อยู่ในห้อง: “…”
การหายใจของเสี่ยวเหยียนสม่ำเสมออย่างรวดเร็วหลังจากที่เธอแน่ใจว่าเธอหลับไปแล้วจริง ๆ เซียวซู่จึงถอนหายใจได้ จากนั้นก็หันหลังแล้วออกจากห้อง พลิกมือไปเพื่อปิดประตูห้อง
ในขณะที่ปิดประตูห้องนั้นเขามีสีหน้าหนักแน่นจริงจัง
จากนั้นเมื่อเขากลับไปที่ห้องรับแขกแล้ว ชายหนุ่มที่สง่างามนั้นได้นั่งกลับไปที่วีลแชร์แล้ว กอดเสิ่นเฉียวที่บิดตัวอยู่ในอ้อมแขน มองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“เธอเห็นแล้วเหรอ?”
เสียงของเย่โม่เซินเย็นชา ไร้อารมณ์ ราวกับหิมะในเดือนสิบสอง
เซียวซู่พยักหน้า สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้า เขาเหงื่อออกท่วมหลังด้วยความตกใจกลัว
“คุณชายเย่ เธอเมาหนักมากครับ คาดว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็คงลืมหมดแล้ว
เย่โม่เซินไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องนั้นเย็นยะเยือกจนน่ากลัว เซียวซู่กำลังลังเลใจสุดท้ายก็ออกปากร้องขอแทนเธอ “เธอเป็นเพื่อนสนิทของคุณนายน้อยสอง ถ้าหากคุณชายเย่ลงมือกับเธอ คุณนายน้อยสอง…คงจะไม่เห็นด้วยนะครับ?”
เซียวซู่เพิ่งจะพูดออกไป ยิ่งรู้สึกได้ถึงสายตาอันแหลมคมดังมีดบินพุ่งเข้าหาตัวเขา เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเย่โม่เซิน ทำได้เพียงหลบสายตาและพยายามลดไหล่ของตนเองลง
“นี่แกกำลังร้องขอแทนเธออย่างนั้นเหรอ? เซียวซู่”
หน้าผากของเซียวซู่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มีความสั่นเครือในน้ำเสียงของเขา “ไม่ ไม่ใช่ครับ! เซียวซู่เพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น!”
“หึ เป็นความจริงที่ดีจริง ๆ” เย่โม่เซินหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “แค่จากที่เธอพาผู้หญิงคนนี้ไปดื่มจนเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ลงมือกับเธอได้แล้ว อย่างไรก็ตาม…”
อย่างไรก็ตามอะไร? เซียวซู่อยากรู้มากว่าเย่โม่เซินจะจัดการอย่างไร แต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไรมากไปกว่านี้
เวลาผ่านไปทุกนาทีทุกวินาที นานจนเซียวซู่คิดว่าเสี่ยวเหยียนคงจะชะตาขาดแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เสียงของเย่โม่เซิน
“ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น นายอยู่ที่นี่จัดการเรื่องที่เหลือ นายคงรู้ระดับความสำคัญของเรื่องนี้ดีนะ”
เซียวซู่ตกตะลึงอยู่ในใจและเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “คุณชายเย่หมายความว่าจะไม่เอาเรื่องใช่ไหมครับ?”
“ไม่เอาเรื่องไม่ได้หมายความว่าให้นายผ่อนคลายได้”
“ครับ!” เซียวซู่รีบพยักหน้าทันที และพูดอย่างมีพลังเล็กน้อย “ผมจะอยู่จัดการเองครับ รอเธอตื่นแล้วจะถามให้ชัดเจน วางใจเถอะครับคุณชายเย่ ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”
หลังจากได้คำตอบที่ต้องการแล้ว เย่โม่เซินก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นก็อยู่ไม่สุขเหมือนกับว่าเธอนั้นไม่สบายตัว เธอขยับตัวถูไถไปอยู่ในอ้อมกอดของเย่โม่เซินตลอดเวลา กลิ่นของไวน์และบาร์บีคิวทั่วร่างกายของเธอกระตุ้นต่อมรับรสของเขา
ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะความอดทน เขาคงโยนเธอทิ้งไปนานแล้ว
“ยัยโง่ เธอนี่ไม่เชื่อฟังจริง ๆ เชียว” เย่โม่เซินก้มหน้าลง และกัดริมฝีปากแดงระเรื่อของเธออย่างแรงด้วยความโมโห
“อ๊ะ…” เสิ่นเฉียวที่อยู่ในอาการเมาเจ็บและร้อนออกมาเบา ๆ ยื่นมือออกไปแล้วตบโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่มือจะโดนหน้าของเขา เย่โม่เซินจับข้อมือขาวของเธอไว้ได้มั่นแล้วดึงมันลงไป: “ฉันไปก่อน นายอยู่ที่นี่แหละ”
“ครับ คุณชายเย่”
เย่โม่เซินพาเสิ่นเฉียวออกไปแล้ว ห้องค่อย ๆ สงบนิ่งลง บรรยากาศรอบ ๆ ที่เย็นยะเยือกในตอนที่เย่โม่เซินอยู่นั้นกลับเข้าสู่อุณหภูมิปกติอย่างช้า ๆ
เซียวซู่เหงื่อออกโทรมกาย พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเย่โม่เซินไม่ใช่คนพิการมันเป็นความลับที่มีเพียงเขาและส้งอานเท่านั้นที่รู้ แม้แต่คุณนายสองก็ไม่รู้เรื่องนี้
อีกทั้งในตอนเริ่มต้นที่คุณนายน้อยสองเกือบจะรู้ความจริงเข้านั้น เย่โม่เซินก็ได้พูดกับเธอว่าจะจบชีวิตเธอด้วยมือเขาเองก็ทำให้เซียวซู่ตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย
ความรู้สึกที่คุณชายเย่มีต่อคุณนายน้อยสองนั้นเป็นอย่างไร? ในความคิดของเซียวซู่นั้น คุณชายเย่นั้นมีใจให้กับเสิ่นเฉียวจริง แต่เขาก็ยังพูดออกมาอย่างง่ายดายว่าจะจบชีวิตเธอด้วยมือเขาเอง
งั้นเสี่ยวเหยียนล่ะ?
เธอเป็นเพียงพนักงานทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งจะตายเร็วกว่ารึเปล่า?
ดังนั้นเขาจึงกลัวจนเหงื่อแตกพลั่กจริง ๆ โชคดี…โชคดีที่สุดท้ายคุณชายเย่ก็เพียงให้เขาอยู่จัดการเรื่องราวและปล่อยเสี่ยวเหยียนไป
ดูแล้ว คุณชายเย่ในตอนนี้แตกต่างจากเขาในอดีตแล้ว ที่จริงแล้ว…เขามีหลายเรื่องที่พูดออกไปแล้วแต่ไม่ทำ
อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงนี้ อาจจะเกี่ยวโยงถึงคุณนายน้อยสอง…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซียวซู่ยื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็หันหลังกลับห้องไป เขามองดูเสี่ยวเหยียนที่กำลังนอนหลับโดยไม่มีการรักษาภาพลักษณ์ใด ๆ เขาได้เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีที่ดื่มจนเมาจริง ๆ ยิ่งกว่านั้นเสี่ยวเหยียนก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร
ถ้าหาก…ไม่ได้เมา คงจะ…
เฮ้อ เซียวซู่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ส่วนอีกด้าน เย่โม่เซินพาเสิ่นเฉียวออกมาจากบ้านของเสี่ยวเหยียนแล้วขึ้นรถไป
คืนนี้ไม่ได้มีเพียงเขาและเซียวซู่ที่มา ยังมีคนขับรถ เขาเป็นคนช่วยเปิดประตูและเข็นวีลแชร์ของเย่โม่เซินขึ้นไปบนรถและปิดประตูรถ
“คุณชายเย่ กลับบ้านเลยไหมครับ?” คนขับรถไม่กล้ามองเสิ่นเฉียวเป็นเวลานาน เมื่อขึ้นรถแล้วจึงถามขึ้นอย่างสุภาพ
เย่โม่เซินนิ่งไปครู่หนึ่ง เดิมทีเขาคิดจะพาเสิ่นเฉียวกลับบ้านตระกูลเย่
แต่ว่า…ผู้หญิงคนนี้ช่วงนี้เธอส่งเสียงเอะอะดังมากไปหน่อย หากให้อยู่ในบ้านเขาเองก็ไม่มีเวลาจะดูแลเธอได้สะดวก…
หลังจากพิจารณาดูคร่าว ๆ แล้ว เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากแล้วพูด “ไปวิลล่าไห่เจียง”
“ครับ คุณชายเย่”
รถยนต์หมุนหัวกลับในความมืดจากนั้นก็หายไปจากใต้ตึก
เย่โม่เซินก้มหน้าและมองดูเสิ่นเฉียวด้วยความสงสัย ในตอนนี้เธอสงบลงมากกว่าก่อนหน้านี้บ้างแล้ว คิ้วบอบบางคู่นั้นยังคงขมวดแน่น ริมฝีปากซีดขาวเล็กน้อยแต่กลับชุ่มชื้น
วิลล่าไห่เจียง เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเย่โม่เซินที่ไม่มีใครรู้ ครบรอบวันเกิดของแม่เขาทุกปี เขาจะไปอยู่ที่นั่นคนเดียวประมาณสองถึงสามวัน การไปล่วงหน้าครั้งนี้ทำให้คนขับรถรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือคุณชายเย่วางแผนพาผู้หญิงคนนี้ไปกับเขาด้วย
เขามีเจตนาอะไร? หรือว่าตัดสินใจแน่วแน่กับเสิ่นเฉียวแล้ว?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ คนขับรถก็ตกตะลึงเล็กน้อย
เขาเองก็อยู่กับเย่โม่เซินมาหลายปีแล้ว ก็ถือว่าเป็นลูกน้องของเย่โม่เซินคนหนึ่ง ดังนั้นเขาก็พอจะรู้เรื่องของเย่โม่เซินอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยถาม