บทที่268 รังเกียจฉันขนาดนี้เลยเหรอ
เสียงทุ้มและมีเสน่ห์พร้อมกับความอิดโรยดังเข้าหูของเสิ่นเฉียวโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เสิ่นเฉียวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบสนองอย่างทันที
นี่มัน…เสียงของเย่โม่เซินนี่!
คนที่กอดเธอคือเย่โม่เซิน?
เสิ่นเฉียวหันกลับไปอย่างเร็ว เธอเห็นหน้าของเย่โม่เซินที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ เพียงแต่ตอนนี้เขากำลังหลับตาและเหมือนกับกำลังหลับฝันอยู่
ด้วยความงุนงงครู่หนึ่ง เสิ่นเฉียวก็ตอบสนองทันใด เธอกำลังฝันไม่ใช่เหรอ? ทำไมในฝันมีเย่โม่เซินด้วยล่ะ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาหยิกหน้าตัวเอง
เจ็บจัง…
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วแน่นจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
เจ็บขนาดนี้ มันคือความจริงอย่างนั้นเหรอ? แต่ว่า…ทำไมจู่ ๆ เธอก็มาอยู่ในห้องติดทะเล อีกทั้งยังมีเย่โม่เซินที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ ภาพเช่นนี้ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็ดูไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด
เสิ่นเฉียวเขยิบเข้าไปใกล้หน้าของเย่โม่เซินและออกแรงหยิกแก้มของเขา
ถ้าหากว่าเขาไม่เจ็บไม่มีความรู้สึกล่ะก็ มันก็คงจะแค่ความฝันสินะ
“อือ…”
เธอใช้แรงหยิกแก้มของเย่โม่เซิน เขาเจ็บและส่งเสียงร้องออกมาเพราะความเจ็บ จากนั้นขนตาเขาก็สั่นไหวและลืมตาขึ้น
ดวงตาของเขามืดมิดและลึกล้ำราวกับมหาสมุทรลึกที่ไร้ขอบเขต แต่เพราะเขาเพิ่งตื่นจากการหลับใหลจึงยังคงมีหมอกบาง ๆ อยู่ภายใน
เสิ่นเฉียวค่อย ๆ เก็บมือเธอลงแล้วถามขึ้นด้วยความงุนงง: “เจ็บ…ไหม?”
เจ็บไหม?
เย่โม่เซินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ทำอะไรแต่เช้าเนี่ย?”
พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปกอดเธอเข้ามาไว้ในอ้อมอกแล้วก้มหน้าเข้ามา: “เด็กดีหน่อย นอนอีกนิด”
เสิ่นเฉียวถูกเขากอดอยู่ในอ้อมอก หน้าของเธอแนบชิดกับแผงอกของเขาฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นตึก ๆ เสิ่นเฉียวกะพริบตาแรง เธออดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบแผงอกของเขา
มีเสียงหัวใจเต้น ดังนั้น…นี่คือเรื่องจริงงั้นสิ?
ยิ่งคิด เสิ่นเฉียวก็รู้สึกว่าการเต้นของหัวใจของเย่โม่เซินนั้นแรงขึ้นทันใด
เอ๊ะ? เสิ่นเฉียวเกิดความสงสัยขึ้น เกิดอะไรขึ้นกันนะ? เธอก้มหน้าลงไปมองที่แผงอกเขาแล้วคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็เขยิบเข้าไปเอาหูแนบฟังอีก
ในขณะที่ชุลมุนกันเสิ่นเฉียวก็ได้ยินการสั่นของหน้าอกของเขาเย่โม่เซินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม: “นี่ยั่วฉันตั้งแต่เช้า?”
อะไรนะ? เสิ่นเฉียวเงยหน้าด้วยความพิศวง: “ใคร…ใครยั่วคุณ? นี่ไม่ใช่ฝันหรอกเหรอ?”
พูดจบเธอผลักเขาออกและกระโดดลุกขึ้น ดวงตาสั่นเทา
เธอเข้าใจผิดมาตลอดว่ามันคือความฝัน แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก
“ฝัน?” เย่โม่เซินหัวเราะเบา ๆ ดวงตามืดมิดราวกับค่ำคืนที่เหน็บหนาว ทันใดนั้นเขาก็ยกตัวมาทับร่างเธอไว้ รูปร่างสูงใหญ่และหนักอึ้งทับเธอเอาไว้แบบนี้โดยไม่บอกล่วงหน้า
“อา ปล่อยฉัน! เย่โม่เซิน เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”
“จำไม่ได้เหรอ?” เย่โม่เซินหัวเราะเบา ๆ เพียงแค่ข้ามวันผู้หญิงคนนี้ก็ลืมเรื่องเมื่อคืนนี้ไปจนหมดเสียแล้ว
“ดูท่าฉันคงต้องทำอะไรหน่อยแล้ว ให้เธอคืนความจำสักหน่อย”
ทันทีที่สิ้นเสียงจูบของเขาก็ประทับลงและความเร็วนั้นเร็วมากจนเสิ่นเฉียวไม่สามารถหลบหนีได้ ริมฝีปากจึงถูกเขาประกบไว้แน่น
ริมฝีปากของเธอหอมหวานเหมือนเมื่อวาน เดิมทีเย่โม่เซินแค่อยากจะช่วยเรียกความทรงจำของเธอสักหน่อย แต่ยิ่งจูบไปรสจูบนั้นก็ยิ่งมีรสชาติ มือใหญ่อดไม่ได้ที่จะแตะลงที่ข้างคอและลูบลงไป
“อ๊ะ…อืม” เสิ่นเฉียวร้องด้วยความตกใจ และกัดเข้าที่ริมฝีปากล่างของเย่โม่เซินทันที
เย่โม่เซินถอนจูบเพราะความเจ็บปวดและมองเธออย่างไม่สบอารมณ์
“ตอนนี้จำได้รึยัง?”
ฉากจูบเพิ่งกระตุ้นเธอในตอนนี้และในที่สุดเสิ่นเฉียวก็นึกถึงชิ้นส่วนบางอย่าง แต่ก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันมากนักและไม่มีประโยชน์เลย
แต่ที่สามารถมั่นใจได้คือ เมื่อคืนนี้เธอ…ถูกเย่โม่เซินทำมิดีมิร้ายอีกแล้ว!
“คนเลว!” เธอด่าเขายกใหญ่แล้วผละออกจากตัวเขา
เย่โม่เซินนอนอยู่ข้างเธอ เสิ่นเฉียวรีบลุกขึ้นและพบว่าเสื้อผ้าบนตัวเธอถูกเปลี่ยนแล้ว เธอก้าวเท้าออกไปจากห้องด้วยอย่างรีบร้อน
เย่โม่เซินเองก็ไม่ตามเธอ
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่คิดอยากจะไปก็ไปได้
อย่างน้อยสำหรับนิสัยเช่นเธอแล้ว คงไม่มีทางหาทางได้
หึ ยัยเด็กโง่
ทันใดนั้นมุมปากของเย่โม่เซินก็มีรอยยิ้มจาง ๆ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปแตะที่ริมฝีปากบางของตัวเอง ใคร่ครวญถึงลมหายใจหอมหวานที่เหมือนจะยังหลงเหลืออยู่ของเธออยู่คนเดียว
หลังจากเสิ่นเฉียวออกจากห้องไปแล้วเธอก็เดินออกไปตามทางเดิน แต่ต้องตะลึงกับทิวทัศน์ที่สวยงามระหว่างทาง จากก้าวเท้าเร็ว เธอก็เดินช้าลงจนสุดท้ายก็หยุด เธอยืนมองดูทะเลกว้างที่ไม่สิ้นสุดนั้นอยู่บนพื้นไม้อย่างเหม่อลอย
ห้องวิวทะเล
แต่ก่อนตอนเธอเพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ ก็เคยใฝ่ฝัน ว่าตัวเองจะได้ไปฮันนีมูนกับสามีและพักอยู่ในห้องริมทะเล เป็นแบบนี้ก็จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกทุกวัน
แต่น่าเสียดายที่ความหวังนั้นไม่เคยได้เป็นจริง
คิดไม่ถึงว่า…วันนี้เธอจะรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงในวันนี้
เย่โม่เซินพาเธอมาที่ห้องพักริมทะเล ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงแล้ว แต่แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบผืนทะเลก็ยังคงสวยงามสะกดใจเหมือนเดิม
เสิ่นเฉียวยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น
มหาสมุทรกว้างมีพลังที่มหัศจรรย์
แม้ว่าจะเป็นเพียงมหาสมุทรแต่มันก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจ อารมณ์ที่ขุ่นมัวเมื่อกี้หายไปแล้ว เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าในใจของเธอค่อย ๆ สงบลงแล้ว
ที่นี่…มันคือที่ไหนกันแน่?
เธอเดินไปข้างหน้าและยืนอยู่บนขอบของไม้กระดาน
“ระวังอย่าตกลงไปล่ะ”
เสียงที่ชัดและเยือกเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง เสิ่นเฉียวหันกลับไปพบเย่โม่เซินที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ เขาอยู่ด้านหลังไม่ห่างจากเธอนัก
เสิ่นเฉียวสบตากับเขาแล้วจึงหลบสายตา จากนั้นก็ส่งเสียงเย็นชาไม่อยากจะสนใจเขา
ทะเลสวยงามเช่นนี้ เธอควรจะมีเวลาชื่นชมมันมากกว่านี้สิถึงจะถูกมากกว่าที่จะต้องเสียเวลาและชีวิตมานั่งโมโหเขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ข้าง ๆ เก้าอี้มีร่มตั้งอยู่ มันช่วยบังแสงแดดอันเจิดจ้าได้พอดีเมื่อเอนตัวลง ทำให้สายตาของเธอปรับสภาพและมองผืนทะเลได้อย่างเหมาะเจาะ
เสียงของวีลแชร์ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ เสิ่นเฉียวพูดออกมา “ถ้าคุณเข้ามาฉันจะไป”
จากนั้นเสียงของวีลแชร์ก็หยุดลง เย่โม่เซินอยู่ห่างจากเธอไม่กี่ก้าวขมวดคิ้วและจ้องมองเธอ: “รังเกียจฉันมากขนาดนั้น?”
“ใช่ค่ะ!” เสิ่นเฉียวพูดกลับไปอย่างหนักแน่น: “ถ้าคุณเข้ามาฉันก็จะไป”
เย่โม่เซินสูดหายใจลึก ริมฝีปากโค้งงออย่างร้อนรน “ยัยโง่ เธอช่วยทำความเข้าใจด้วย ที่นี่คืออาณาจักรของฉัน ฉันไปที่ไหนก็ได้ที่ฉันต้องการ ยิ่งกว่านั้นเธอคิดเธอหนีฉันพ้นเหรอ?”
“ฉันรู้ว่าฉันหนีคุณไม่พ้น” เสิ่นเฉียวเลื่อนตัวขึ้นกำหมัดแน่นและจ้องที่เขา “แต่คุณก็หยุดฉันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ดังนั้นฉันจึงบอกว่า ถ้าคุณจะเข้ามา ฉันจะออกไปจากตรงนี้ ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากจะอยู่ที่เดียวกันกับคุณ”
เย่โม่เซินจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน สุดท้ายเหมือนจะยอมประนีประนอม “ได้ เธอสงบสติอารมณ์อยู่ที่นี่ อีกยี่สิบนาทีฉันจะให้คนเอาอาหารเช้ามาให้”
พูดจบ เขาก็หันหลังกลับและจากไป
เสิ่นเฉียวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เย่โม่เซิน…ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นคนว่าง่ายแบบนี้?