บทที่270 ด้วยชีวิต
แท้จริงแล้วเธอต้องการจะพูดอะไรนั้น ในใจเขารู้ดีอยู่แล้ว
เพียงแต่เขาไม่เคยเห็นด้วยเลย
เสิ่นเฉียวจ้องมองเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ฉันต้องการไปจากที่นี่ ฉันต้องการหย่ากับคุณ”
“…”
ดวงตาของเย่โม่เซินหดตัวลงเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากของเขาโค้งงอและรอยยิ้มก็ดูชั่วร้ายเล็กน้อย “ฉันรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงอยากเธอจะคิดยังไง ฉันจะบอกเธอตรง ๆ เลยก็แล้วกันว่า เป็นไปไม่ได้”
“ต่อให้เธอตาย ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเย่โม่เซิน”
“ต่อไปเธออยู่ที่นี่ ห้ามไปไหนอีก”
ได้ยินเช่นนั้น เสิ่นเฉียวอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างแน่น “เย่โม่เซิน คุณใช้อะไรมาตัดสิน? ฉันไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่!”
“งั้นก็มาดูกันว่าเธอจะออกไปจากที่นี่ได้ไหม” เสียงเยือกเย็นของเย่โม่เซินดังมาจากที่ไกล ๆ ด้านหลังเธอ เสิ่นเฉียวไม่สนใจเขา เขาคิดว่าตัวเองจะหลงทางอยู่ในวิลล่าขนาดใหญ่นี้เหรอไง? เธอไม่หลงหรอกเธอเดินออกไปเองก็ได้
เดินวนจบสุดท้ายเธอก็พบว่าจุดชมวิวนี้ใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้ เพราะมีสิ่งปลูกสร้างมากมาย ดังนั้นเสิ่นเฉียวหาทางออกเจอแล้วทางหนึ่งเมื่อออกไปก็เจอทางออกอีกทางหนึ่ง
สุดท้ายเธอเดินจนเหนื่อยหยุดพักหายใจบนโขดหิน
ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่เธอก็เดินแบบนี้มาเป็นเวลานานและเหงื่อออก เสิ่นเฉียวยื่นมือออกมาพัดโบกที่คอ ทันใดนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ ยื่นมือลูบที่คอของตัวเอง
มันเจ็บเล็กน้อยอีกทั้งยังชา ๆ คอเธอเป็นอะไร?
เสียดายที่ตัวเธอมองไม่เห็น ดังนั้นจึงทำได้เพียงดึงมือกลับ
นั่งพักอยู่ครู่หนึ่งเสิ่นเฉียวก็เริ่มหาทางออกใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายเธอก็พบกับสาวใช้คนก่อนหน้านี้ที่หัวมุม
“เธอเอง”
สาวใช้คนนั้นเห็นเธอก็ดีใจเช่นกัน เธอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าชื่นมื่น “คุณคะ คุณไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า: “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ทำไมคะ?”
“เมื่อครู่สีหน้าคุณไม่ค่อยดี ฉันยังเข้าใจผิดคิดว่าคุณไม่สบาย ตอนนี้คุณไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ? จะให้คุณหมอมาตรวจไหมคะ?” เธอพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจและเป็นห่วงเสิ่นเฉียวมาก เสิ่นเฉียวรู้สึกอบอุ่นใจจากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ต้องหาหมอหรอกค่ะ เพียงแต่…ฉันมีอีกเรื่องอยากให้คุณช่วย”
“คุณบอกมาเลยค่ะ! มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วย! ฉันจะช่วยค่ะ!” สาวใช้พูดจบแล้วส่งสายตามองไปที่คอของเธอ จากนั้นก็ยิ้มออกมา
เอาใจใส่ดีจริง ๆ…
เสิ่นเฉียวคิดว่านี่คงจะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของเย่โม่เซินสินะ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงสิ่งนี้ เสิ่นเฉียวเม้มปากแล้วพูดขึ้น: “ทางออกจากที่นี่อยู่ที่ไหน? คุณพาฉันไปดูหน่อยได้ไหม?”
สาวใช้ไม่ได้คิดมากอะไร เธอคิดว่าเย่โม่เซินเป็นคนพาเสิ่นเฉียวมาเอง ทั้งคู่คงจะต้องเป็นคู่กันอยู่แล้ว เพราะหลายปีที่ผ่านมาเธอคือผู้หญิงคนแรกที่เย่โม่เซินพากลับมา ตอนนี้สาวใช้ในวิลล่าต่างพากันพูดว่าเสิ่นเฉียวคือว่าที่คุณนายของที่นี่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงอยากจะเอาใจเธออยู่แล้ว
ดังนั้นตอนนี้เสิ่นเฉียวเป็นฝ่ายเปิดปากขอร้องเธอ สาวใช้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงให้เห็นและรีบพูดทันที: “ฉันพาคุณไปค่ะ”
“ขอบคุณนะ” เสิ่นเฉียวยิ้มให้เธอ ในใจคิดว่าเย่โม่เซินไม่ให้เธอไปคิดว่าตัวเธอคงหาทางออกไม่เจอ แต่กลับไม่รู้ว่าสาวใช้เหล่านี้มีโอกาสจะช่วยตัวเธอออกไปได้
เสิ่นเฉียวเดินตามสาวใช้คนนั้นเดินไปที่ทางออก สาวใช้คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี ดูแล้วคงเป็นคนเก่าคนแก่ทำงานที่นี่มานาน เธอเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
หลังจากที่เดินออกมาแล้ว เสิ่นเฉียวรู้สึกโล่งไม่น้อย
มองดูประตูใหญ่ที่ใกล้แค่เอื้อม เธอคิด…เพียงแค่เดินผ่านประตูนั้นไป เธอก็จะออกจากโลกของเย่โม่เซินโดยสิ้นเชิงแล้ว
เสิ่นเฉียวสูดหายใจหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นเธอจึงก้าวเท้าเดินไปที่ประตูใหญ่
ใครจะรู้เมื่อเธอเดินไปถึงประตู ก็ถูกคนขวางทางเอาไว้
“พวกคุณจะทำอะไร?” สาวใช้พูดด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ: “พวกเราจะออกไป”
หนึ่งในนั้นมองไปที่สาวใช้และพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์: “คุณชายเย่สั่งไว้ ห้ามทุกคนออกไปข้างนอก”
สาวใช้เบิกตาโพลง: “อะไรนะ? นี่เป็นคำสั่งตอนไหน? เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่เลยนี่? ทำไมจู่ ๆ…”
“นี่เป็นคำสั่งที่เพิ่งสั่งมา จูหยุน เธอพาคุณนายน้อยกลับไปก่อนเถอะ”
จูหยุน คือสาวใช้ที่อยู่กับเสิ่นเฉียว เมื่อเธอได้ยินสรรพนามว่าคุณนายน้อยก็แปลกใจเล็กน้อย “คะ…คุณนายน้อย? คุณกำลังจะบอกว่า…”
พูดจบ เธอมองไปที่เสิ่นเฉียวด้วยสายตาหวาดวิตกและอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
เสิ่นเฉียวคิดจะใช้โอกาสที่พวกเขากำลังคุยกันและเดินออกไปจากอีกฝั่ง แต่ใครจะคิดว่าจะมีอีกสองคนมาขวางเธอไว้
“คุณนายน้อย คุณชายเย่บอกแล้ว คุณออกไปจากประตูนี้ไม่ได้”
เสิ่นเฉียวตกตะลึงอยู่ตรงนั้นและมองฝ่ายตรงข้าม
ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงคำพูดของเย่โม่เซินที่เขาพูดกับเธอก่อนเขาจะไป
“งั้นก็มาดูกันว่าเธอจะออกไปจากที่นี่ได้ไหม”
สีหน้าของเสิ่นเฉียวเปลี่ยนเป็นซีดขาว ตัวของเธอก้าวไปข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งตัวจนเกือบล้มลง
โชคดีที่ จูหยุน รีบเข้ามาพยุงเธอไว้ได้ทัน “คุณนายน้อยไม่เป็นไรนะคะ?”
ที่จริง…ที่เขาบอกว่าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องหลงทาง แต่เขา…ออกคำสั่งกับคนเฝ้าประตูเตรียมไว้เรื่องที่เธอจะออกจากที่นี่ไป ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามอนุญาตให้เธอออกจากที่นี่
หึ…เสียก็เพียงแต่ว่าเธอเข้าใจว่าเพียงแค่เธอหาคนนำทางได้ก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าเขาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว เพียงรอให้เธอเดินเข้ามาติดกับอย่างโง่เขลา จากนั้นก็จับตัวเธอกลับไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ เธอหลับตาและตัวสั่นไปหมด
“ทำไม? นี่มันการจองจำ!” สุดท้ายเธออดกลั้นต่อร่างกายที่สั่นเทาและระเบิดคำพูดออกมา
ยามเฝ้าประตูหลายคนเห็นใบหน้าเธอซีดขาวและโกรธจนปากสั่นจึงไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าว
“หลีกไป” เสิ่นเฉียวเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งและมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา: “วันนี้ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่”
“ขอโทษครับคุณนายน้อย นี่เป็นคำสั่งของคุณชายเย่ ต่อให้พวกเราต้องตาย ก็คงไม่สามารถปล่อยให้คุณออกไปได้”
“ใช่เหรอ?” เสิ่นเฉียวยิ้มหน้าซีด: “ถ้าหากฉันจะแลกด้วยชีวิตล่ะ? พวกคุณก็จะไม่ปล่อยฉันไปเหรอ?”
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นได้ฟังแล้วก็ต้องตกใจกลัวจนหันไปมองหน้ากัน “คุณนายน้อยครับ คุณอย่าทำให้เราลำบากใจเลยครับ พวกเรามอบชีวิตให้คุณชายเย่แล้ว ถ้าหากคุณออกไป งั้นพวกเรา…ก็คงตายกันหมด”
จูหยุน ที่ได้ยินสิ่งนี้ก็กลัวจนเหงื่อตก “พวกนายพูดอะไรกันเนี่ย? คิดจะขู่คุณนายน้อยรึไง? คุณนายน้อยคะ วันนี้พวกเราอย่าเพิ่งออกไปเลยนะคะ ฉันพยุงคุณกลับไปพักก่อนดีกว่า”
เสิ่นเฉียวหันไปมองคนเหล่านั้นด้วยใบหน้าซีดเซียว พวกเขาพูดด้วยสีหน้าท่าทีที่จริงใจ ราวกับว่าเย่โม่เซินได้กำหนดชีวิตพวกเขาไว้จริง ๆ และเสิ่นเฉียวเธอจะต้องดูคนเหล่านี้ตายจริง ๆ เหรอ?
เป็นอย่างที่คิด
ถือว่าเย่โม่เซินรู้จักเธอดี และรู้สึกว่าเธอจะทนไม่ได้ดังนั้นจึงจะอยู่ที่นี่ต่อไป
“เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจฉันดีเหรอ? วันนี้ฉัน…จะต้องออกไปให้ได้”