บทที่ 29 สักขีพยาน
ในดวงตาของเย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นมองเห็นหน้าอกสุดเซ็กซี่ของเธอ
ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจสินะ?
แต่มองดูท่าทางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงถือขวดน้ำหอมยื่นมาให้เขาดูนั้นเหมือนว่าจะไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ได้ตั้งใจ?
ผู้หญิงที่แต่งเข้าตระกูลเย่มีเหรอจะไม่ตั้งใจ? ดวงตาของเย่โม่เซินเย็นยะเยือกและถามกลับด้วยคำพูดที่รุนแรง “เธอยั่วยวนฉันเหรอ?”
เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เอ๊ะ?”
เย่โม่เซินก้มลงไปมองที่หน้าอกของเธออีกครั้ง
เสิ่นเฉียวมองตามสายตาของเขาถึงเห็นว่าตอนที่เอื้อมตัวไปข้างหน้านั้นคอเสื้อมันเปิดกว้างทำให้เห็นหน้าอก
เธอรีบเอามือปิดหน้าอกแล้วเอนตัวกลับ ใบหน้าขาวใสขึ้นสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากขยับอย่างต้องการจะอธิบายแต่พูดอะไรไม่ออก
ดวงตาสีเข้มของเย่โม่เซินทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
คิดถึงการกระทำที่ไม่ได้ระวังตัวเมื่อกี้ เธอก็อยากจะมุดแผ่นดินหนี….
เธอไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ!
เพราะเขาถามขึ้นมา เธอก็เพียงแค่ยื่นขวดน้ำหอมให้เขาดู…
แต่เธอไม่คิดว่าคอเสื้อจะกว้างขนาดนี้ เอนตัวไปข้างหน้านิดเดียวก็กลายเป็นแบบนั้นแล้ว
ครั้งนี้ความประทับใจที่เย่โม่เซินมีต่อเธอต้องแย่ลงกว่าเดิมแน่ ๆ
แก้มแดงจากการทาบลัชออนกลับมาเป็นสีปกติอีกครั้ง เสิ่นเฉียวมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ในมือกำขวดน้ำหอมแน่น
เธอไม่ได้ตั้งใจ! ไม่ได้ตั้งใจ!!!
เธอไม่ได้คิดที่จะยั่วยวนเขา!
บรรยากาศในรถเปลี่ยนไป เย่โม่เซินมองเธอผ่านกระจกบานเดียวกัน เห็นพวงแก้มที่ไม่ได้แดงระเรื่ออีกต่อไปและดวงตาที่ฉายแววคับข้องใจ
คับข้องใจ?
คับข้องใจอะไร?
คับข้องใจที่เขากล่าวหาเธออย่างผิด ๆ?
แต่การที่เธอมาเปิดหน้าอกให้ผู้ชายดูไม่ได้เรียกว่ายั่วยวนเหรอ?
รถมาถึงงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว พอลงจากรถเสิ่นเฉียวจะเข้าไปเข็นรถให้เขาแต่ถูกโม่เซินปฏิเสธเสียก่อน “ฉันมีธุระต้องไปจัดการ เธอไปหาประธานลู่ก่อน”
ก่อนแยกกันเย่โม่เซินหันกลับมาจ้องเธออีกครั้ง “จำไว้ อย่าก้มศีรษะให้ใคร ไม่อย่างนั้น…”
คำต่อจากนั้นเสิ่นเฉียวรู้ว่าเขาต้องการจะขู่อะไรเธอจึงพยักหน้าตอบกลับ “เข้าใจแล้ว คุณวางใจเถอะ ฉันไม่ได้แย่เท่าที่คุณคิดอะไรขนาดนั้น”
พูดจบริมฝีปากของเย่โม่เซินยกขึ้น ดวงตาฉายแววยั่วยุ ดูก็รู้ว่าไม่เชื่อถือคำพูดของเธอ
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากแล้วกำมือด้วยความโกรธ “รับประกันด้วยเกียรติของฉันเลย”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากเย่โม่เซิน เขาปล่อยให้เซียวซู่เข็นออกไป เสิ่นเฉียวจึงต้องเข้างานเลี้ยงคนเดียว
คนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม เสิ่นเฉียวเดินผ่านผู้หญิงมาหลายคนล้วนได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นแรงจากตัวพวกเธอ มองเห็นสร้อยเพชรที่แต่ละคนสวม ไหนจะชุดที่สั่งตัดมาโดยเฉพาะ
กับชุดที่เธอใส่ตอนนี้มันเทียบอะไรด้วยไม่ได้เลย
ก็เสิ่นเฉียวเคยไปงานเลี้ยงอะไรที่ไหนกันล่ะ? เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปหาประธานลู่ที่ไหน จึงเดินไปนั่งแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาหาข้อมูลของประธานลู่
ตอนนี้หาตัวไม่เจอ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกัน ถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจก่อน หากพบกันภายหลังก็จะได้รับมือได้
เสิ่นเฉียวนั่งมองโทรศัพท์อย่างจริงจังจนไม่ได้สนใจสถานการณ์รอบตัว
เกิดเสียงเพลงดังขึ้น เสิ่นเฉียวถึงดึงสติกลับมาก็ตกใจที่ตอนนี้งานเลี้ยงผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว
เสิ่นเฉียวหยิบค็อกเทลตรงหน้าขึ้นมาจิบ ลุกขึ้นแล้วตามหาเย่โม่เซินแต่หามานานแล้วก็ยังไม่เจอเขา
แปลกจริง เขาไปไหนของเขา? หายไปนานแล้วทำไมถึงยังไม่กลับมา?
เสิ่นเฉียวบังเอิญพบคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง เป็นประธานลู่แห่งบริษัทตระกูลลู่ที่เธอหาข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเมื่อกี้นี้
ลู่สุนฉาง
คนที่สร้างตัวเองโดยที่เริ่มจากศูนย์
จากที่ไม่มีอะไรจนมาเป็นบริษัทตระกูลลู่ในตอนนี้
แม้ว่าบริษัทตระกูลลู่จะสู้ตระกูลเย่ไม่ได้ แต่ในเมืองเป่ยนั้นนับว่ามีชื่อเสียงมากทีเดียว
ลู่สุนฉางเพิ่งจะอายุสามสิบ โสด มีความโรแมนติกในตัวเอง และชอบคบเล่นกับผู้หญิงที่มีชื่อเสียง แค่ได้รู้ข้อมูล
ก็รู้สึกอึดอัดใจแล้ว
เสิ่นเฉียวตั้งใจจะทำตามที่วางแผนเอาไว้ แต่เธอหาอะไรที่เข้ากับเขาไม่ได้
ถ้าหากปรากฏตัวในฐานะผู้ช่วยของประธานตระกูลเย่จะช่วยได้ไหม?
เสิ่นเฉียวยกแก้วตรงหน้าขึ้นมา ตัดสินใจที่จะไปชนแก้วกับเขาก่อน
เสิ่นเฉียวค่อย ๆ เดินไปหาลู่สุนฉางแต่ปรากฏว่าเขาโอบแขนผู้หญิงในชุดสีน้ำเงินยาวออกไปข้างนอกแล้ว
เสิ่นเฉียวรีบตามไป
ตามพวกเขาไปจนถึงสวนเล็ก ๆ ด้านนอกงานจนเสิ่นเฉียวได้พบกับลู่สุนฉาง
อยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยต่อหน้าแต่ ลู่สุนฉางดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วก้มลงจูบเธอเสียก่อน
“อืม… ประธานลู่ คุณนี่จริง ๆ เลย…”
ผู้หญิงในอ้อมกอดของเขาพูดขึ้นมา ลู่สุนฉางหัวเราะในลำคอ มือใหญ่ลูบไล้อยู่ที่แผ่นหลังของเธอแล้วลากไล้เข้าไปข้างในชุดทำเอาผู้หญิงคนนั้นเกิดร้องเสียงแปลก ๆ ขึ้นมา
เสิ่นเฉียวไม่คิดว่าตัวเองจะมาพบเจอกับฉากนี้ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คิดว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง เบือนหน้าหนีด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เธอกลัวว่าจะถูกใครพบเข้าแต่เวลานี้ออกไปก็คงจะไม่เหมาะ ได้แต่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ มือที่ถือเครื่องดื่มอยู่ยกขึ้นมาจิบด้วยความเบื่อหน่าย
เสิ่นเฉียวรอจนเครื่องดื่มในมือหมด คนฝั่งนั้นก็ยังไม่เสร็จธุระ
หน้าของเสิ่นเฉียวนิ่งเฉยแต่ใบหน้าที่ขึ้นสีนั้นแสดงออกถึงความประหม่าภายในใจของเธอ ที่ตรงนั้นไม่มีทีท่าว่าจะจบทำให้ต้องรอไปอีก
“ประธานลู่ คืนพรุ่งนี้คุณต้องมาที่บ้านฉันนะคะ ฉันต้องกลับก่อนแล้ว~”
“ไม่ต้องห่วงนะที่รัก คุณออกจะมีเสน่ห์ขนาดนี้ คืนพรุ่งนี้ผมไปหาคุณแน่นอน”
ผู้หญิงคนนั้นเอ้อระเหยกับเขาสักพักถึงยอมเดินออกมา
รอจนผู้หญิงคนนั้นจากไป รอยยิ้มบนหน้าของลู่สุนฉางก็หายไป เขาหยิบบุหรี่ออกมาสูบและจัดเสื้อให้เรียบร้อย
จากนั้นไม่นานเขาก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ออกมาได้แล้ว”
เสิ่นเฉียวตกใจจนกำแก้วในมือแน่นพอได้ยินเขาพูดแบบนั้น
เธอ…ถูกจับได้แล้ว?
ไม่จริงน่า! เธอจะถูกจับได้ได้ยังไง เธอเพียงแค่มาพบโดยบังเอิญเท่านั้น แต่กลับถูกจับได้แบบนี้เธอต้องออกไปหรือเปล่า?
“เธอไปแล้ว เลิกซ่อนได้แล้ว หรือผมต้องไปดึงคุณออกมา?”
ลู่สุนฉางหัวเราะเบา ๆ แล้วหันกลับมา
เสิ่นเฉียวเห็นว่าเขากำลังเดินมาทางนี้ก็เกิดกลัวจนต้องก้าวถอยหลัง
ตอนนั้นเองที่เสียงเย็นดังขึ้นมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
“ประธานลู่นี่ช่างแกล้งและน่าสนใจจริงนะ”
เป็นเซียวซู่ที่เข็นเย่โม่เซินออกมาจากอีกทาง
เสิ่นเฉียวเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นเขา
ทำไมเย่โม่เซินมาอยู่ที่นี่? หรือว่าเขาเองก็ทันเห็นเรื่องอุบาทว์ตาเมื่อกี้?
เธอเกิดรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา หวังว่าเย่โม่เซินจะไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้น…