บทที่ 281ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
“คุณหาน”
ซูจิ่วตะโกนออกมา หานชิงเรียกสติกลับมา สายตามองทะลุผ่านซูจิ่วแล้วไปหยุดที่เสิ่นเฉียว
เมื่อเห็นว่าเธอได้เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว จึงได้ละสายตากลับไป
เพียงเเต่ชั่วครู่หนึ่งเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วขึ้นเเละหันไปยังซู่จิ่ว
ซูจิ่วทำได้เพียงอธิบายว่า “คุณหนูเสิ่นเป็นห่วงคุณหนูเส่โยว จึงต้องมากับฉันที่นี่”
เมื่อได้ยินซูจิ่วอธิบายแก่หานชิง เสิ่นเฉียวก็พอรู้อะไรบางอย่างจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวออกหน้าแทนซูจิ่ว “ฉันอยากจะมาเอง เส่โยวก็มาเป็นแบบนี้แล้ว ฉันจะพักผ่อนได้อย่างไร ให้มาโรงพยาบาลกับพวกคุณด้วยยังดีกว่า”
เธอพูดถึงขนาดนั้นแล้วแต่หานชิงก็ไม่พูดอะไร
รออยู่ในห้องฉุกเฉินเป็นเวลานาน เสิ่นเฉียวที่ต่อมาตัวแข็งทื่อก็ถูกซูจิ่วพยุงให้มานั่งข้างๆ ขณะที่นั่งลงเสิ่นเฉียวถึงได้รู้ตัวว่าขาตัวเองสั่นอย่างหนัก ตอนที่ยืนอยู่ก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ซูจิ่ววางมือลงมาแล้วกดที่ขาของเธอ
“เธอโอเคไหม”
ได้ยินดังนั้น เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นและสบตากับซูจิ่วที่มองด้วยแววตาเป็นห่วง “ฉันไม่เป็นไร”
หลังจากรอสักพักในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกและเสิ่นเฉียวที่นั่งอยู่ก็รีบลุกขึ้นยืนและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างโซเซ
มือใหญ่คู่หนึ่งประคองเธอไว้ได้ทันเวลา เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมาทันสบตาที่สงบนิ่งของหานชิง
“ระวัง” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม
เสิ่นเฉียวพยักหน้าอย่างงุนงง
“พวกคุณเป็นคนในครอบครัวของผู้ป่วยที่กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเมื่อกี้นี้หรือเปล่า” หมอถามหลังจากที่เขาออกมา หานชิงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับตอบรับหนึ่งคำ และเสิ่นเฉียวเดินตามหลังเขาไป
“ผมครับ” หานชิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
หมอเหลือบมองไปที่เขาและหันมามองที่เสิ่นเฉียวก่อนจะพูดว่า “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วโชคดีที่แผลไม่ลึกถ้าแผลลึกกว่านี้ ก็คงจะไม่รอดแล้ว”
แม้ว่าจะหวาดกลัวอยู่ชั่วครู่แต่เสิ่นเฉียวก็ได้ยินชัดเจนว่าหานเส่โยวไม่เป็นไรแล้ว
ในที่สุดความกังวลทั้งหมดที่มีก็หายไป ขาของเสิ่นเฉียวอ่อนแรงลงและเซไปข้างหลังและล้มลงไป
“คุณหนูเสิ่น” ซูจิ่วยืนอยู่ข้างหลังเธอพอดีและเมื่อเห็นเธอถอยหลังล้มลงมา จึงเอื้อมมือไปพยุงเธอโดยไม่รู้ตัว
หานชิงหันหน้ากลับมาและพบว่าเสิ่นเฉียวหมดสติไปแล้ว
หมอก็ถึงกับผงะและก้าวไปตรวจดูเสิ่นเฉียว “น่าตกใจมากเกินไปช่วยพยุงเธอไปพักผ่อนในห้องผู้ป่วยข้างๆสักครู่เถอะ สีหน้าของเธอดูไม่ดีเลย”
ซูจิ่วพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพยุงเสิ่นเฉียวไปห้องข้างๆ ใครจะรู้ว่าหลังจากที่หานชิงเจรจากับหมออย่างชัดเจน แล้วเขาก็ก้าวไปข้างหน้ามาอุ้มเสิ่นเฉียวที่เป็นลมหมดสติไปแล้วขึ้นมาแล้วพูดกับซูจิ่วว่า “เธอไปจัดการเรื่องการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก่อน”
ซูจิ่วจ้องมองฉากเบื้องหน้าด้วยความงุนงงหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ตอบสนอง “โอเคค่ะคุณหาน”
หลังจากรอให้หานชิงอุ้มเสิ่นเฉียวเดินจากไปไกลแล้ว ซูจิ่วก็ยืนดูฉากนี้อย่างงงงวยอยู่ตามเดิม
มันแปลกที่หานชิงปฏิบัติต่อเสิ่นเฉียวเกินขอบเขตของเพื่อนทั่วไป แต่ท่าทางและการกระทำที่เขาอุ้มเสิ่นเฉียว ไร้ซึ่งบรรยากาศในทางชู้สาว ตรงกันข้าม…ดูเหมือนพี่ชายที่ห่วงใยน้องสาวของเขา
เป็นไปได้ไหมว่าเสิ่นเฉียวและหานเส่โยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันดังนั้นหานชิงจึงปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาวเช่นกัน
ช่างมันเถอะ ตอนนี้เธอจะมัวคิดเรื่องนี้อยู่ทำไม หานชิงปฏิบัติต่อใครก็ตามล้วนมีข้อจำกัด เขารู้ดีว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ ความจริงไม่จำเป็นให้เลขาอย่างเธอต้องกังวลเรื่องนี้
คิดได้แบบนี้ซูจิ่วจึงรีบไปทำจัดการเรื่องการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแทนหานเส่โยว”
ทิ้งให้ลุงจินยืนอยู่คนเดียวไม่ไปไหน ตะลึงอยู่นานไม่รู้ตัวเองต้องทำอะไรพอคิดได้ก็รู้สึกว่าตัวเองออกมาพร้อมเสิ่นเฉียวถ้าเช่นนั้นก็ตามเธอไปเถอะ
ดังนั้นลุงจินจึงเร่งฝีเท้าเดินตามหานชิงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหานชิงอุ้มเสิ่นเฉียวเข้าไปในห้องผู้ป่วย และขณะที่ก้มตัววางเธอลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ลุงจินรู้สึกแปลกนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสัมพันธ์ในแง่ชู้สาวเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้ก็ยังไม่จำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้ให้คุณชายเย่ทราบจะดีกว่า หากพูดไปจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
เมื่อนึกถึงจุดนี้ลุงจินจึงตัดสินใจยืนรออยู่ที่ประตู
หานชิงกลับคิดอะไรบางอย่างเขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่ลุงจิน ลุงจินรีบยืนอยู่ข้างประตูและไม่พูดอะไร
ซูจิ่วเข้ามาหลังจากทำจัดการเรื่องต่างๆเสร็จแล้ว “คุณหาน เราควรเตรียมคนรับใช้มาดูแลคุณหนูเส่โยวมั้ยคะ”
“อืม” หานชิงพยักหน้า “เอาสิ แล้วเตรียมอีกสองคนมาที่นี่ด้วย”
ซูจิ่วชะงักแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
เสิ่นเฉียวฟื้นขึ้นเร็วมากประมาณสิบนาทีต่อมาเธอก็ตื่น แต่ใบหน้าของเธอยังคงซีดเมื่อเธอตื่นขึ้นมาเธอเห็นหานชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากเตียง ในห้องผู้ป่วยเงียบมาก
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ จู่ๆเสิ่นเฉียวก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้เธอก็ยกผ้าห่มขึ้นอย่างฉับพลันแล้วลุกขึ้นนั่งส่งเสียงออกมา หานชิงมองไปที่เธอ “ตื่นแล้วเหรอ”
“ขอโทษค่ะ…” เมื่อสบตากับเขา เสิ่นเฉียวรู้สึกอึดอัดจนแทบไม่ไหว
หานชิงเลิกคิ้วริมฝีปากบางของเขาเปิดออกเล็กน้อย “ขอโทษเรื่องอะไร”
เสิ่นเฉียวได้แต่กัดริมฝีปากและอธิบายให้เขาฟัง “เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้ในเวลาแบบนี้แล้ว ฉันยังทำให้คุณยิ่งเดือดร้อนเข้าไปอีก ฉันขอโทษจริงๆค่ะ”
หลังจากพูดจบเสิ่นเฉียวก็ลงจากเตียงยืนโค้งตัวลงขอโทษหานชิง
ท่าทีของเธอเช่นนี้กลับทำให้หานชิงไม่พอใจเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุผลใด… เขาไม่อยากเห็นเธอก้มหัวให้คนอื่นโดยเฉพาะกับตัวเอง
“ไม่ต้องขอโทษ” หานชิงพูดเสียงใส “เธอกรีดข้อมือด้วยตัวเองและไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
ได้ยินเช่นนั้นเสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่เขา “เส่โยวเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างสังเกตอาการในห้องไอซียูและสามารถย้ายไปห้องคนไข้ทั่วไปได้หลังจากนี้ยี่สิบสี่ชั่วโมง”
ยังอยู่ดูอาการในห้องไอซียู เสิ่นเฉียวหน้าซีดไปหมดในชั่วครู่เดียว พูดแบบนี้ไม่ได้หมายถึงเป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกเหรอ
“หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้วให้อยู่ในห้องไอซียูเพื่อสังเกตอาการเพื่อป้องกันเกิดไม่ให้เกิดเหตุที่ไม่คาดคิด เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
เสิ่นเฉียว “…”
เธอยังคงกังวลมากมือทั้งสองข้างแนบลำตัวกำแน่นแล้วค่อยๆคลายมือออกแล้วกำแน่นอีก
เธอมักจะรู้สึกว่าเส่โยวฆ่าตัวตายและเรียกเธอไปหา ความจริงนั้นมีเหตุผลอยู่
บางทีอาจเป็นเพราะทะเลาะกันครั้งก่อนและพูดคำพูดที่รุนแรงมากเกินไปทำให้เธออยากฆ่าตัวตาย หรืออาจจะเป็นเหตุผลอื่น …
สรุปแล้ว ว่าต้นเหตุคงหนีไม่พ้นเธอและเย่โม่เซิน
มิฉะนั้นหลังจากที่มาถึงตระกูลหานคนที่มองโลกในแง่ดีและร่าเริงอย่างหานเส่โยว จู่ๆจะมาฆ่าตัวตายได้อย่างไร
สำหรับเสิ่นเฉียวนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดแล้ว
“มันเป็นความผิดของฉัน ฉันควรขอโทษ” เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากล่างของเธอแน่น “เธอต้องกรีดข้อมือก็เพราะฉัน แต่คุณหานได้โปรดวางใจ ฉันจะคุยเรื่องนี้กับเธอให้รู้เรื่องหลังจากที่เธอฟื้นแล้ว”
ความขัดแย้งระหว่างผู้หญิงหานชิงไม่ได้สนใจที่จะรับรู้ แต่ความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆไม่สามารถทำให้หานเส่โยวกรีดข้อมือฆ่าตัวตายได้ ถ้าขัดแย้งใหญ่กว่านี้จะถึงขั้นไหนกัน
หานชิงจ้องมองร่างของเสิ่นเฉียวด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์ ราวกับจะสอบถามเรื่องราวกับถามเธอ
แน่นอนว่าเสิ่นเฉียวเข้าใจความหมายของสายตาของเขา เพียงแต่…เรื่องระหว่างเธอกับหานเส่โยวพัวพันยุ่งเหยิงเกินไป
“ขอโทษค่ะ ตอนนี้ฉันยังบอกคุณไม่ได้”