บทที่ 292 ไม่น่าเชื่อ
ดังนั้นทารกจึงหิวแล้ว
ความรู้สึกนี้ส่งผ่านไปยังเธอโดยเป็นธรรมชาติ หลังจากเสิ่นเฉียวตื่นขึ้นมาเธอก็มองไปที่บรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้าครู่หนึ่งกว่าจะรู้ตัวสิ่งที่เธอทำไปในวันนี้ เธอขยี้ตาแล้วลุกขึ้นจากนั้นก็มองไปยังพื้นที่ว่าง
“เสี่ยวเหยียน”
ไม่มีใครตอบกลับ หรือว่าเสี่ยวเหยียนยังไม่กลับ ในใจเสิ่นเฉียวมีข้อสงสัยบางอย่าง ตอนที่กำลังจะใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาเสี่ยวเหยียน
ประตูห้องครัวถูกผลักเปิดออกและเสี่ยวเหยียนก็หยิบจานสองใบแล้วเดินออกไป
“ในที่สุดเธอก็ตื่นสักที รีบล้างมือและกินข้าวได้แล้ว”
เสิ่นเฉียวตะลึง “กินข้าวได้แล้ว เธอกลับมาเมื่อไร”
“ฉันกลับมานานแล้วเห็นเธอนอนขี้เกียจเหมือนหมูฉันก็เลยไม่รบกวน” เสี่ยวเหยียนยิ้มตาหยีและพูดขึ้น จากนั้นวางจานในมือลงบนโต๊ะและทักทายเธอราวกับจะให้อาหารหมู “เฉียวเฉียวอย่านั่งโง่ๆอยู่เลย รีบลุกขึ้นมาล้างมือและทานอาหาร ฉันทำอาหารเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธอไปหยิบชามกับตะเกียบแล้วกินเสร็จเธอจะต้องล้างจานนะ”
เสิ่นเฉียวในตอนแรกรู้สึกสับสน แต่เมื่อถูกเธอพูดอย่างนั้น ก็ฉีกยิ้มขึ้นและลุกขึ้นมา “โอเคแน่นอน”
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบจานและตะเกียบแล้วมานั่งทานอาหารกับเสี่ยวเหยียน
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ทานอาหารฝีมือของเสี่ยวเหยียน ฝีมือของเธอไม่เลว เธอทานไปด้วยพูดไปด้วย “ฉันลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเพราะเธอเลยนะ เป็นอย่างไรบ้าง ฝีมือของฉันไม่เลวเลยใช่ไหม”
“อืม”
ทั้งสองคนทานอาหารอย่างรู้กันโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่จดจ่ออยู่กับการเติมเต็มอาหารลงในท้อง เสี่ยวเหยียนเห็นว่าเสิ่นเฉียวทานพอประมาณแล้วจึงเอ่ยปากถาม “เธอบอกว่ามีเรื่องจะบอกฉัน เรื่องอะไร คงไม่ได้ทะเลาะกับเย่โม่เซินอีกแล้วใช่ไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เสิ่นเฉียวชะงักจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวเหยียน
ทันใดนั้นเธอก็วางตะเกียบในมือลงและจ้องมองเธออย่างจริงจัง
เสี่ยวเหยียนยังคงยัดอาหารเข้าปากต่อไป ในใจคิดว่าเป็นอย่างที่คาดไว้เธอคิดถูกที่ไม่ถามเรื่องนี้ก่อนทานอาหาร ไม่อย่างนั้นเสิ่นเฉียวคงไม่ต้องทานอาหารมื้อนี้แล้ว
“ฉันไม่มีใครที่จะคุยได้ด้วยอีกแล้ว นอกจากเธอฉันไม่มีใครเลยจริงๆเสี่ยวเหยียน มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามความคิดเห็นของเธอ”
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนยัดอาหารลงปากไป ก็หยิบชามขึ้นมาจิบน้ำซุป “พูดมาสิ”
มันอึดอัดเกินไปที่จะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจคนเดียว เสิ่นเฉียวครุ่นคิด และกล่าวในที่สุดว่า “เธอคิดมาตลอดว่าฉันและเย่โม่เซินสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ดีใช่ไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนก็พยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “แน่นอนสิพวกเธอเป็นสามีภรรยากัน เธอชอบเขาและเขาก็ชอบเธอด้วย ไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกันด้วยดี จะอยากทำอะไรอีก”
“แต่ถ้าฉันบอกว่าฉันท้องล่ะ”
เสี่ยวเหยียนตะลึง แต่ก็มีปฏิกิริยารวดเร็วเช่นกัน “ตั้งท้องแล้วมีปัญหาอะไร นี่มันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือไง เธอตั้งท้องลูกของเขาและมันทำให้ความสัมพันธ์ของเธอมั่นคงขึ้น ถึงเวลานั้นว่าหานเส่โยจะกลายเป็นปีศาจได้อย่างไร”
เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ทันใดนั้นเสิ่นเฉียวก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เธอหรี่ตาลงน้ำเสียงของเธอดูเหมือนจะเยาะเย้ยตัวเอง
“แล้วถ้าฉันบอกเธอว่าเด็กคนนั้นไม่ได้เป็นลูกของเย่โม่เซินล่ะ”
“ไม่ใช่แล้วยังไง…แล้วมีอะไรเหรอ …” เสี่ยวเหยียนตอบกลับอย่างไม่สนใจ แต่เมื่อพูดจบเธอก็หยุดพูดกลางประโยคราวกับเหยียบเบรกรถ เธอเบิกตากว้างนั่งอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเธอถูกจี้จุดฝังเข็มไม่ให้เคลื่อนไหว
เธอกลืนอาหารในปากเป็นเวลานาน แล้วมองไปที่เสิ่นเฉียวอย่างอึดอัด “ขอโทษนะ เมื่อกี้ดูเหมือนว่าฉันจะชะงักไป เธอพูดประโยคเมื่อกี้อีกสักครั้งสิ”
เสิ่นเฉียวยิ้มให้เธออย่างขมขื่น “มันยากที่จะเชื่อใช่ไหม ยากที่จะยอมรับ ฉันกับเขาเป็นสามีภรรยากัน แต่ฉันท้องกับคนอื่น”
“ไม่ได้จะพูดอย่างนั้น …” เสี่ยวเหยียนพบว่าตัวเองพูดสะเปะสะปะแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน เดิมทีหานเส่โยวเป็นตัวร้าย ปรากฏว่าเธอท้องกับผู้ชายคนอื่น เย่โม่เซินจะถือสาไหม”
เสี่ยวเหยียนเจอกับเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ใช้เวลาครู่หนึ่งก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเสิ่นเฉียว
“เธอได้ยินก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนับประสาอะไรกับเขา” เสิ่นเฉียวลดตาลงขนตายาวของเธอทอดเป็นรูปพัดรอบดวงตา เสียงหัวเราะของเธอขมขื่นมากเธอกัดริมฝีปากล่าง “บางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิต”
“ไม่ใช่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอท้องกับผู้ชายคนอื่นได้ล่ะ เสิ่นเฉียวเธอคบชู้เหรอ”
เสี่ยวเหยียนนึกไม่ออกจริงๆ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งจะท้องกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง เธอก็คิดเรื่องอื่นไม่ออกจริงๆนอกจากการมีชู้
“จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่การแต่งงานครั้งแรกของฉัน ฉันเคยหย่าร้างมาแล้วครั้งหนึ่ง”
เสี่ยวเหยียน “…”
“แล้วหมายความว่าลูกเป็นของอดีตสามีเหรอ”
เสิ่นเฉียวส่ายหัวอีกครั้ง อ้าปากแต่ก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่เรื่องลูกเป็นของเย่หลิ่นหานต่อให้ตายเธอก็พูดไม่ได้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอจึงกัดริมฝีปากและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ รีบพูดมาให้กระจ่าง ฉันกระวนกระวายจะตาย”
เสี่ยวเหยียนคิดว่าเธอน่าจะมีเพียงความขัดแย้งกับเย่โม่เซิน ใครจะรู้ว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องใหญ่แบบนี้ ชั่วครู่เสี่ยวเหยียนเห็นท่าทางของเธอนิ่งจึงกังวลใจแทนขึ้นมา รอไม่ไหวที่จะใส่ความคิดลงไปในสมองเสิ่นเฉียว รื้อฟื้นความทรงจำทั้งหมดของเธออีกครั้ง
เสิ่นเฉียวเล่าเรื่องอีกรอบอย่างเรียบง่าย
“ก็เป็นแบบนี้ นั่นสินะมันเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงจนฉันรับมือไม่ทัน เมื่อฉันรู้ตัว… มันก็สายไปแล้ว ตอนแรกฉันคิดจะไปทำแท้ง แต่ทางโรงพยาบาลบอกฉันว่าฉันไม่สามารถทำแท้งได้มิฉะนั้นจะเสี่ยงต่อการตกเลือด ต่อมาฉันมาคิดดู… เด็กไม่มีความผิดอะไร ฉันเลยเก็บเด็กคนนี้ไว้”
เสี่ยวเหยียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและทันใดนั้นก็พูดว่า “เธอให้ฉันประมวลผลแป๊บนึง หลายๆเรื่องในคราวเดียวกัน ฉัน…ประมวลมันไม่ทัน”
หลังจากพูดจบ เสี่ยวเหยียนก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้อง
เสิ่นเฉียวมองไปที่แผ่นหลังเรียวของเธอก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
หลังจากที่เธอพูดแบบนั้น เสี่ยวเหยียนคงจะเกลียดเธอแล้วใช่มั้ย คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สกปรกและน่ารำคาญ
หลังจากคิดเรื่องนี้เสิ่นเฉียวก็ถอนหายใจจากนั้นก็ลุกขึ้นไปเก็บของบนโต๊ะและถือของเดินเข้าไปในครัว เธอสัญญากับเสี่ยวเหยียนว่าจะล้างจาน
หลังจากล้างจานและตะเกียบแล้วเธอก็จะจากไปอย่างเงียบๆ
อยู่ที่นี่ต่อก็มีแต่จะทำให้คนเกลียด
เสิ่นเฉียวล้างจานเร็วมาก หลังจากล้างเสร็จเธอก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเอาของของตัวเองแล้วก็เตรียมตัวจากไป
เมื่อเธอเดินไปที่โถงทางเข้า เธอก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเสี่ยวเหยียนเดินออกมา จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นเสิ่นเฉียนกำลังจะจากไป จึงถามขึ้น “ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปที่ไหน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสิ่นเฉียวก็หยุดชะงัก เธอหันหน้าไปมองเสี่ยวเหยียน ริมฝีปากของเธอขยับ
“ฉัน…”
เสี่ยวเหยียนหรี่ตาลงมองเธอแปลกๆ และมองไปเห็นกระเป๋าในมือเสิ่นเฉียวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “เธอกำลังจะไปแล้วเหรอ มีอะไรเหรอ”
ตอนนี้เสิ่นเฉียวพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เธอคิดว่าเสี่ยวเหยียนเกลียดตัวเอง เธอจึงอยากออกไปอย่างเงียบๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องโดนเกลียดไปมากกว่านี้