บทที่ 301 ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะมา
บางที อาจจะห่วงใยความรู้สึกของเธอ เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นกับหานเส่โยว
เสิ่นเฉียวไฝเม้มริมฝีปากสีแดงแล้วไม่พูดอะไรอีก
ยิ่งไปกว่านั้นยังฉันอ่านเอกสารฉบับนั้น
เย่หลิ่นหานมองเธอผ่านกระจกหลัง แล้วถามอย่างเงียบ ๆ ขณะขับรถว่า “เธอกับเสี่ยวเหยียนมีความสัมพันธ์ที่ดีกันใช่ไหม” เสิ่นเฉียวได้สติกลับมาและพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว: “แน่นอน”
“มิน่าล่ะผู้หญิงคนนี้ถึงทำเพื่อเธอมากมายขนาดนั้น เธอเป็นคนที่คู่ควรกับมิตรภาพที่ลึกซึ้ง”
เสิ่นเฉียวอดยิ้มไม่ได้ “ใช่ เธอมีน้ำใจมากกว่าที่ฉันคิดและฉันก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะดีกับฉันขนาดนี้”
เธอเตรียมชุดไปร่วมงานเลี้ยงแล้วหรือยัง?”
“อืม”
“แต่ฉันยังไม่มี อีกสักพักฉันไปเลือกชุด เธอก็แวะไปแต่งหน้า แล้วเราจะออกเดินทางอย่างตรงเวลา ฉันคำนวณเวลาไว้แล้ว เธอไม่ต้องกังวลว่าจะไปสาย”
จัดการให้อีกแล้ว ดูเหมือนเสิ่นเฉียวจะไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดนอกจากพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ในมือของเธอมีกล่องชุดราตรีนั่นและยังมีข้อมูลหนาเป็นตั้ง ๆ ด้านในคือผลตรวจของหานเส่โยว
เดิมทีเธอควรเปิดมันหลังจากที่ขึ้นรถ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้เธอถึงไม่มีความคิดที่จะเปิดเอกสารนั้นเลยด้วยซ้ำ
แล้วนิ่งเงียบอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน ดูเหมือนเย่หลิ่นหานจะสังเกตเห็นเลยถามขึ้นมาทันทีว่า: “เธอไม่เปิดดูเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นเฉียวก็อึ้งแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา: “ไม่รีบ”
ดวงตาของเย่หลิ่นหานจริงจังเล็กน้อย: “ก่อนหน้านี้ตอนทานอาหาร ยังนึกว่าเธอรีบมากเสียอีก ที่แท้…เธอไม่ได้สนใจสิ่งนี้?”
ทำไมจะไม่สนใจล่ะ?
เสิ่นเฉียวกำข้อมูลในมือของเธอแน่น เดิมทีเธอกังวลมากเกี่ยวกับข้อมูลนี้ แต่ตอนที่เธอออกมาสายตานั้นของเย่โม่เซินทำให้เธอกังวลจนถึงตอนนี้ …
ความรู้สึกแบบนั้น ราวกับมีของสองสิ่งวางอยู่ตรงหน้าคุณ แล้วคุณต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แค่มองแวบเดียวคุณก็รู้ว่าสิ่งไหนสำคัญสำหรับคุณ
ข้อมูลเกี่ยวกับหานเส่โยวกำลังตั้งครรภ์กับเย่โม่เซินจริงเหรอไม่ สำหรับเธอแล้ว…หัวใจของเธอได้เลือกอย่างแรกไปโดยปริยายแล้ว
เสี่ยวเหยียนพูดเสมอว่าเธอไม่กล้า เพราะเคยเจ็บปวดมาก่อน ดังนั้นด้านมืดของการแต่งงาน จึงทำให้เธอกลัวว่าจะถูกทรยศอีกครั้ง ถ้าเธอเชื่อมั่นในตัวของเย่โม่เซินอย่างบริสุทธิ์ใจ สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แล้วถ้าเธอตอนนี้…อยากจะเชื่อ ยังทันอยู่ไหม?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นเฉียวก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความให้เสี่ยวเหยียน
เสี่ยวเหยียนคงขึ้นรถแล้ว เลยส่งข้อความกลับอย่างรวดเร็ว
พอเห็นข้อความเหล่านั้น เสิ่นเฉียวก็แสบจมูก เกือบจะร้องไห้ออกมา
จนเธอต้องรีบยื่นมือไปปิดปากของเธอ ดวงตาที่เย็นชาของเธอมีน้ำตาคลอ แต่กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แค่ทำตามหัวใจของเธอ ถ้าเธอยอมเลือกที่จะเชื่อนั่นแสดงว่าเธอได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกของเธออย่างกล้าหาญแล้ว ฉันมีความสุขแทนเธอมาก อีกอย่างนะเฉียวเฉียว ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหนฉันก็จะอยู่ข้างเธอเสมอ เพราะฉะนั้นลุยเลยสู้ ๆ”
อืม เธอต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนและเผชิญกับมันอย่างกล้าหาญ
ผลที่ตามมาของการทุ่มสุดตัวมีอยู่สองอย่าง เลวร้ายที่สุดก็แค่กลับไปที่เดิม เธอไม่กลัวความพ่ายแพ้อยู่แล้ว
เสิ่นเฉียวยิ้มแล้วเช็ดน้ำตาที่หางตาออก จากนั้นนำข้อมูลที่หนักอึ้งใส่ลงในกระเป๋า รอเธอกลับมาค่อยทำลายมัน
เย่หลิ่นหานสังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเธอไม่คาดคิดว่าในขณะนั้นเขาจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและในใจของเขาว่างเปล่า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น: “ดูเหมือนว่าเธอจะชอบเขามากจริง ๆ ”
เสิ่นเฉียวเพิ่งจะนำข้อมูลใส่ลงไป มือของเธอหยุดชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พยักหน้า: “อืม เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ”
ไม่มีอะไรเลวร้ายที่จะยอมรับ
เย่หลิ่นหานไม่ได้พูดอะไร ในรถก็ตกอยู่ในความเงียบแปลก ๆ จนกระทั่งถึงที่หมาย เย่หลิ่นหานจึงพาเธอไปแต่งหน้า แล้วไปเลือกเสื้อผ้าของตัวเอง
เสิ่นเฉียวบอกช่างแต่งหน้าว่าเธอค่อนข้างรีบ ดังนั้นขอให้เธอแต่งหน้าเร็ว ๆ หน่อย ช่างแต่งหน้าจึงบอกให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยมาแต่งหน้า
ในระหว่างขั้นตอนการแต่งหน้า เธอรู้สึกได้ว่าช่างแต่งหน้ามีความชำนาญและทำได้รวดเร็วมาก แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันใช้เวลานาน
จนกระทั่งเสียงของเย่หลิ่นหานดังขึ้นจากด้านนอก ช่างแต่งหน้าก็เก็บมือกลับไปในเวลาเดียวกัน
“เสร็จแล้วค่ะ คุณผู้หญิง คุณสวยจริง ๆ ~”
เสิ่นเฉียวได้สติกลับมา แล้วมองตนเองในกระจก ที่แท้ก็แต่งเสร็จแล้ว
แต่เธอไม่มีกะจิตกะใจที่จะมองใกล้ ๆ รีบขอบคุณเธอหลังจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
พอเย่หลิ่นหานที่รออยู่ข้างนอกเห็นเธอออกมา ก็กระพริบตาอย่างตกตะลึงในความสวยงาม
ชุดกระโปรงที่เย่โม่เซินเตรียมไว้ให้เธอเป็นสีเงินเรียบ ๆ ซึ่งแตกต่างกับสไตล์ปกติของเธออย่างสิ้นเชิง แสงสีเงินอบอุ่นช่วยขับผิวขาวของเธอให้ดูสว่างไสวระยิบระยับเป็นพิเศษ บวกกับการแต่งหน้า ทำให้ดูราวกับเจ้าหญิงที่ออกมาจากภาพวาด
ในขณะนั้น ที่แสงไฟตกกระทบลงบนร่างของเสิ่นเฉียว เย่หลิ่นหานรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตา
คน ๆ นี้เหมือนเจ้าหญิงโดยธรรมชาติ เธอน่าจะเกิดในครอบครัวชนชั้นสูง ได้รับการดูแลเอาใจใส่และเป็นที่ยอมรับของทุกคน
อย่างไรก็ตามครอบครัวของเธอกลับธรรมดา คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคุณสมบัติประจำตัวอย่างนี้ ช่างหายากจริง ๆ
หลังจากก้าวไปได้สองก้าว เท้าของเสิ่นเฉียวก็เซและเกือบจะล้มไปข้างหน้า
เย่หลิ่นหานหน้าเปลี่ยนสี แล้วรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับเธอไว้: “ไม่เป็นไรนะ?”
เสิ่นเฉียวตกใจมาก เธอส่ายหัว “ฉันไม่เป็นไร”
คนสองสามคนที่อยู่ข้าง ๆ ต่างหน้าซีดด้วยความตกใจ แต่พวกเขาก็โล่งใจที่เห็นเธอถูกช่วยไว้ โชคดีจริง ๆ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เย่หลิ่นหานปล่อยมือ ให้เธอยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง: “ในเมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ไปกันเถอะ”
“อืม”
เสิ่นเฉียวเดินออกไปพร้อมกับเย่หลิ่นหานแล้วกลับขึ้นรถอีกครั้ง
พอเดินไปที่ข้างรถ ทันใดนั้นเย่หลิ่นหานก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วปลดกระดุมเสื้อสูทและถอดเสื้อสูทออก: “สวมเถอะ ตอนกลางคืนลมแรง ชุดของเธอบางเกินไป”
พอเสื้อสูทนั้น เสิ่นเฉียวก็ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว: “ขอบคุณพี่ใหญ่ แต่อีกสักพักพอเข้าไปในรถก็ไม่หนาวแล้ว”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งด้วยตนเอง เย่หลิ่นหานยืนถือสูทค้างไว้อยู่อย่างนี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็กลับมาสวมสูทอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร
เย่หลิ่นหานหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ในใจ เธอชอบเย่โม่เซินมากขนาดนี้ ยังจะคิดอะไรอยู่อีก?
ใกล้จะถึงเวลามากขึ้นทุกที งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
ในขณะนี้ภายในห้องจัดเลี้ยงคึกคักมา เหล่าพนักงานกำลังเตรียมพร้อมที่จะเริ่มงานเลี้ยง แต่กลับมีรถเข็นหนึ่งคันอยู่ที่ชั้นสอง เย่โม่เซินนั่งอยู่บนนั้นด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า แล้วมองไปที่ประตูชั้นล่างด้วยสายตาที่เย็นชา
ผู้หญิงคนนั้น…ยังไม่ปรากฏตัวอีก แถมเธอยังไม่โทรหาเขาด้วย
หึ ใจดำเสียจริง
เซียวซู่ที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ เขาก็พอจะรู้สึกถึงอารมณ์ที่ดิ่งลงของเขา เลยอดที่จะพูดไม่ได้: “คุณชาย คุณรอคุณนายน้อยอยู่เหรอ? เธอจะต้องมาแน่ ผมส่งที่อยู่ให้เธอแล้ว”
พอได้ยิน เย่โม่เซินก็ได้สติกลับมา ยิ้มเล็กน้อยแล้วหัวเราะเยาะ: “เธอจะมาหรือไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน?”
เซียวซู่: “คุณชายไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะมา?”