บทที่326 เรื่องในอดีต
“ในเทศกาลที่เหมือนกัน ลูกสาวของคุณมีเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่เด็กคนนี้กลับไม่มี คุณนายเสิ่นปฏิบัติกับเธอเหมือนกับเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ แม้กระทั่ง…..ให้เธอทำงาน ดูแลน้องสาว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลตอบแทนที่ไม่ยุติธรรมทั้งนั้น คุณพูดกับเธอตลอดเพียงแค่ประโยคเดียวว่าเธอเป็นพี่ ดังนั้นก็จะต้องดูแลน้องอย่างนั้นใช่ไหม?”
ซูจิ่วพูดมาถึงตรงนี้ แล้วนึกไปถึงข้อมูลเหล่านั้นที่ตัวเองไปสำรวจมา แววตาของเธอนั้นอดที่จะแสดงความรังเกียจออกมาไม่ได้ : “แม้กระทั่งหลังจากที่เธอหย่าแล้ว คุณก็เอาเรื่องการแต่งงานที่ลูกสาวคนเล็กของคุณไม่ได้รู้สึกพอใจนั่นผลักไปให้กับเธอ ให้เธอไปแต่งงานแทน ให้เธอต้องไปทนกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม คุณนายเสิ่น เป็นคนแบบคุณนี่ สุดยอดมากเลยนะคะ”
คำพูดแบบนี้ คุณแม่เสิ่นรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกกล่าวหาว่าทำผิด แต่พอมาคิดดูแล้วนั้น เธอก็ยังคงรู้สึกสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องอยู่ดี
“ฉันสุดยอดอย่างไร? คุณก็รู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของฉัน มีเพียงแค่ลูกสาวของตัวเองเท่านั้นแหล่ะคนเราถึงจะทำดีด้วย เธอไม่ใช่ลูกฉัน ทำไมฉันจะต้องทำดีกับเธอ? ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรเธอนี่! และยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเสิ่นของฉันก็เลี้ยงดูเธอมาด้วยความยากลำบากจนโตขนาดนี้ สิ่งที่เธอควรจะได้เรียนฉันก็ให้ แล้วฉันทำผิดอะไรกับเธออย่างนั้นหรือ?”
“คุณนายเสิ่นเกรงว่าคุณจะไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำตามความปรารถนาเดิมของคุณสิคะ? ถ้าหากเลือกได้ คุณคิดว่าเธอจะเลือกคุณให้มาเป็นแม่หรือเปล่า? เดิมทีคุณกับสามีมีลูกกันไม่ได้ก็เลยคิดที่จะรับเลี้ยงดูเธอ แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่คุณมีลูกแล้วก็ทำให้เด็กคนนี้เริ่มที่จะได้รับความไม่ยุติธรรม แล้วตอนที่คุณปฏิบัติกับเธอแบบนี้ คุณเคยคิดหรือเปล่าว่าตอนแรกเด็กคนนี้ให้ความสุขและความประทับใจกับคุณมามากขนาดไหน?”
คุณแม่เสิ่น : “…………”
แล้วทันใดนั้นเธอก็นึกถึงตอนก่อนที่เธอยังไม่ได้ตั้งท้อง เธอกับสามีของเธอรับเลี้ยงดูเสิ่นเฉียวเด็กคนนี้ ทั้งสองคนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเธอรูปร่างหน้าตาดี โตขึ้นมาแล้วก็เป็นเด็กที่หน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง
แต่ต่อมาหลังจากที่เธอมีลูกแล้วนั้น ความคิดเหล่านั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไป แม้กระทั่งเริ่มที่จะเกลียดเธอเสียด้วยซ้ำ รู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นตัวภาระ มีแต่ที่จะผลาญเงินของเธอ ดังนั้นเธอจึงเริ่มที่จะไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆให้เสิ่นเฉียว อีกทั้งตอนที่เสิ่นโย่วแกล้งเสิ่นเฉียวนั้น เธอก็จะแกล้งทำเป็นไม่เห็น หรือแม้กระทั่งรู้สึกสนุกสะใจเสียด้วยซ้ำ
ตอนที่เสิ่นเฉียวถูกพ่อค้ามนุษย์พาตัวไปเช่นนั้น คุณแม่เสิ่นรู้สึกว่า….มันช่างดีเหลือเกินเสียอีก
ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กที่เธอรับมาจากสถานสงเคราะห์ เดิมทีก็เป็นเด็กที่ถูกทิ้งอยู่แล้ว ให้พ่อค้ามนุษย์จับตัวไปก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี อีกทั้งเธอรู้สึกว่าพ่อค้ามนุษย์บางทีอาจจะส่งตัวเธอไปอยู่ในมือพ่อแม่คนอื่นก็ได้ เธอก็จะได้ไม่ต้องเลี้ยงดูเด็กคนนี้อีก
ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นมาอย่างถาโถมบ้าคลั่ง แต่ต่อมาไม่คิดว่าตำรวจจะโทรมาบอกว่าหาตัวคนกลับมาได้แล้วให้เธอไปรับเด็กคนนั้นได้ที่สถานีตำรวจ
เธอลังเลอยู่นานถึงได้ไปรับตัวเสิ่นเฉียวกลับมา แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาเธอเห็นเสิ่นเฉียวแล้วก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตามากขึ้นไปกว่าเดิม แม้กระทั่งคิดด้วยว่าทำไมเด็กคนนี้ไม่ตายๆไปเสียตอนที่อยู่ในมือของพวกพ่อค้ามนุษย์พวกนั้น
สรุปแล้ว…..ทุกอย่างๆนั้นพอถึงตอนนี้ก็ไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนออกมาได้เลย
“เพราะฉะนั้นที่พวกคุณมาวันนี้มีจุดประสงค์คือ?”
“คุณนายเสิ่นตอนนี้คุณยอมรับแล้วว่าเด็กคนนั้นคุณรับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์ ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของคุณใช่ไหมคะ?”
เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เธอเองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไม่ยอมรับอีก คุณแม่เสิ่นพยักหน้าลง
“ใช่ ถึงอย่างไรพวกคุณก็สำรวจเรื่องนี้กันละเอียดขนาดนั้นแล้ว ฉันเองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปฏิเสธ สรุปแล้วพวกคุณเป็นใครกันแน่? สืบเรื่องนี้เพราะสาเหตุอะไรกัน?”
ซูจิ่วมองหานชิงแวบหนึ่ง หานชิงพยักหน้าลง ซูจิ่วจึงเอ่ยถึงความต้องการออกมา : “สร้อยยันต์คุ้มกันล่ะคะ?”
คุณแม่เสิ่นมองพวกเขา หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่ดีเท่าไรนัก : “พวกคุณจะทำอะไรกันแน่?”
“คุณนายเสิ่น เรื่องมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว คุณแน่ใจว่าคุณไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอะไรหรือคะ?”
“พวกคุณ……” คุณแม่เสิ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และหลังจากที่มีปฏิกิริยากลับมาแล้วนั้นจึงเบิกตาขึ้นมาในทันที แล้วชี้ไปยังพวกเธออย่างเหลือเชื่อ : “หรือ หรือว่าจะเป็นเสิ่นเฉียว…..”
“ถ้าหากเป็นไปได้ ขอให้คุณกรุณาคืนสร้อยยันต์คุ้มกันนั่นกลับมาด้วยค่ะ สร้อยยันต์คุ้มกันคู่นั้น…..ด้านบนมีตัวอักษรสลักเอาไว้ เป็นสิ่งที่นายท่านตระกูลหานสั่งให้คนใช้วัตถุประเภทโลหะหนักทำขึ้นมา”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว คุณแม่เสิ่นยังรู้สึกว่าชีวิตเป็นเรื่องมายา เธอรับเลี้ยงดูลูกของครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้มาหาเธอถึงที่แล้ว
ไม่ได้
เธอจะยอมเอาตัวเสิ่นเฉียวให้ไปแบบนี้ไม่ได้
คิดเช่นนี้แล้ว คุณแม่เสิ่นจึงกระแอมออกมาเบาๆ : “พวกคุณอยากจะเอาตัวเธอกลับไป แต่ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าที่พวกคุณพูดเป็นเรื่องจริง? สร้อยยันต์คุ้มกันคู่นั้นดูแล้วมีมูลค่ามาก อีกทั้งเด็กนั่นฉันก็เป็นคนอุ้มมาจากสถานสงเคราะห์ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกใช่ไหม? ส่วนเรื่องหลังจากนั้น นั่นมันก็เป็นเรื่องหลังจากที่ฉันรับเด็กนั่นมาเลี้ยงแล้ว ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อแม่เธอ ก็มีสิทธิที่จะตัดสินใจได้ว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร เธอโตแล้ว ตอนนี้พวกคุณอยากจะมาบอกกับฉันว่า เธอเป็นลูกสาวของตระกูลหานของพวกคุณอย่างนั้นหรือ? หึ ไม่มีหลักฐานออกมาให้ดู ฉันไม่มีทางเชื่อหรอกนะ แล้วก็ยิ่งไม่มีทางจะเอาสร้อยยันต์คุ้มกันนั่นคืนให้พวกคุณด้วย”
ซูจิ่วยิ้มออกมา “ในเมื่อพูดไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะพูดดีกว่านี้ไปอีกไม่ได้แล้วล่ะ”
พูดจบแล้วนั้น ราวกับเธอเปลี่ยนวิธีโดยหยิบบัตรธนาคารใบหนึ่งออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ “คุณนายเสิ่น ในนี้มีเงินอยู่ห้าล้าน เป็นค่าตอบแทนที่คุณดูแลคุณหนูหานในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ถ้าหากคุณยอมที่จะคืนสร้อยยันต์คุ้มกันให้กับเรา เงินห้าล้านนี้ก็จะเป็นของคุณนายเสิ่นทั้งหมด” คุณแม่เสิ่นได้ยินคำว่าห้าล้านแล้ว ทันใดนั้นแววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที ให้ความรู้สึกราวกับช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัดนี้ จู่ๆมีแสงไฟสว่างขึ้นมาแบบนั้น
แต่ไม่นาน เธอก็มองไปยังหานชิงที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
บุคคลนี้นับตั้งแต่เข้ามาแล้วนั้น ก็มีออร่าปกคลุมบ้านทั้งหลังนี้ แม้กระทั่งจะพูดได้ว่าบ้านหลังนี้ไม่สามารถรับใครเข้ามาได้อีกแล้ว คนแบบนี้…….ห้าล้านจะพอได้อย่างไรกัน?
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว คุณแม่เสิ่นก็แสร้งทำเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งกระแอมออกมาเบาๆ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น : “พวกคุณหมายความว่าอะไร? คิดจะเอาเงินห้าล้านมาซื้อฉันอย่างนั้นหรือ? ฉันเหมือนพวกเห็นแก่เงินขนาดนั้นเลยหรือยังไง?”
“จากที่สืบข้อมูลมา คุณติดหนี้พนันอยู่หนึ่งล้าน และช่วงนี้สามีของคุณก็เป็นหนี้เยอะขึ้นเพราะปัญหาหนี้นอกของคุณ อีกทั้งลูกสาวคนโตของคุณเสิ่นเฉียวก็สำรองจ่ายไปให้คุณแล้วด้วยสามแสน ใช่ไหมคะ?”
คุณแม่เสิ่น : “…….ดูแล้วพวกคุณสืบทุกอย่างมาหมดแล้วจริงๆสินะ”
“คุณนายเสิ่นคุณเป็นคนฉลาด คงจะรู้ว่าข้อตกลงนี้มันคุ้มกันหรือเปล่านะคะ เงินก้อนนี้เอาไปใช้หนี้พนันเหล่านั้น ส่วนเงินที่เหลือก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงดูคนสองคนอีกด้วยนะคะ”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?” คุณแม่เสิ่นลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห แต่กลับเป็นเพราะอำนาจของหานชิงทำให้เธอรู้สึกกลัว จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลง : “ฉันเลี้ยงดูเธอมาเป็นยี่สิบกว่าปี พวกคุณจะเอาคิดจะเอาเงินมาแลกก็จะแลกได้ง่ายๆแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าหากเป็นไปได้ ผมเองก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเงินกับคุณหรอกนะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ซูจิ่ว” จู่ๆหานชิงจึงเอ่ยขึ้นมา
ซูจิ่วที่มีปฏิกิริยาตอบรับแล้วนั้นจึงหยิบเอาบัตรธนาคารใบนั้นกลับมา
“เดิมทีแล้วก่อนที่พวกเราจะมานั้นไม่ได้เตรียมเงินเอาไว้ ในเมื่อคุณเป็นผู้มีบุญคุณเลี้ยงดูเธอมายี่สิบกว่าปี การใช้เงินแก้ปัญหาดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายกันเกินไปสินะคะ ดูเหมือนว่าตอนนี้ความคิดของคุณนายเสิ่นจะเหมือนกับพวกเราเลยนะคะ”
คุณแม่เสิ่นมองเงินที่ถูกเก็บกลับไปแล้วด้วยแววตาที่ดูตื่นตกใจ
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เธออยากจะได้เงินมากกว่านี้เสียหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่า……..