บทที่329 ความลับที่เป็นของเธอ
“รบกวนสอบถามอีกซักหน่อยนะครับ รถคันนั้นนอกจากจะดูดีแล้วยังมีความโดดเด่นอย่างอื่นบ้างไหมครับ? อย่างเช่น….ทะเบียนรถอะไรพวกนั้น……” ถึงแม้จะไม่ได้หวังกับความจำของหญิงสูงอายุตรงหน้า แต่เย่หลิ่นหานก็ยังคงเอ่ยถามออกไป
เขาก็ยังคงหวังจะได้เบาะแสเพียงน้อยนิดนี้ได้
หญิงสูงอายุคนนั้นมองเขาอย่างละเอียด แล้วจู่ๆก็หัวเราะออกมาพลางเอ่ยถาม : “ทำไมคุณถามเยอะขนาดนี้ล่ะ? ฉันเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นก็เต็มใจที่จะขึ้นรถคันนั้นไปนะ! คุณคิดจะทำอะไรน่ะ?”
เธอยอมขึ้นรถไปเองอย่างนั้นหรือ? เย่หลิ่นหานชะงักไป ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นคนที่เสิ่นเฉียวรู้จัก
เพียงแต่….ในบรรดาคนที่เธอรู้จักยังมีใครอีก?
“ขอบคุณนะครับ ผมเป็นเพื่อนของเธอครับ จู่ๆก็ติดต่อเธอไม่ได้พวกเราก็เลยร้อนใจกัน ตามหาตัวเธอกันแถวๆนี้กันอยู่นานเลยครับ”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง….ทะเบียนรถฉันจำไม่ได้หรอก แต่ฉันจำได้ว่ารถคันนั้นเป็นสีดำ…..”
เย่หลิ่นหานถอนหายใจอยู่ในใจ เป็นอย่างที่คิดว่าเขาไม่ควรจะคาดหวังกับหญิงสูงวัยตรงหน้าเขาเลยจริงๆ รถสีดำในเมืองเป่ยนี้มีตั้งมากมายนับไม่ถ้วน
“ขอบคุณครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขาจะต้องโทรบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวเหยียน แล้วถามเธอว่าเธอรู้จักคนอื่นๆอีกหรือเปล่า เผื่อจะได้หาเบาะแสจากบุคคลเหล่านี้ได้
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนได้ยินข่าวนี้แล้วนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา : “รถสีดำ? รองประธานเย่คุณแน่ใจใช่ไหมคะว่าเธอยอมขึ้นรถคันนั้นเอง?”
“ไม่ชัวร์ครับ” เย่หลิ่นหานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา : “ถ้าหากที่หญิงสูงวัยคนนั้นพูดมาจริง เพียงแค่เธอไม่ได้มองผิด เฉียวเฉียวคงจะไม่ได้ถูกบังคับให้ขึ้นรถไปหรอกครับ”
ได้ยินแล้ว เสี่ยวเหยียนจึงเงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย : “จะว่าไปแล้วก็ใช่ค่ะ ถ้าหากถึงบังคับให้ขึ้นรถก็จะต้องมีการต่อสู้ดิ้นรนกัน แต่ในเมื่อหญิงสูงอายุคนนั้นเห็นว่าเธอยอมขึ้นรถไปเอง ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่มีอันตราย แต่ยังหาเธอไม่เจอฉันก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ท่าทางก่อนหน้านี้เธอดูหวาดกลัวอยู่นะคะ รองประธานเย่ ขอร้องคุณล่ะค่ะ ฉันอยากเห็นกับตาตัวเองว่าเธอยังปลอดภัยดีอยู่”
“วันนี้คุณกลับไปก่อนเถอะครับ ผมจะส่งคนให้หาตัวเธอต่อเอง มีข่าวยังไงผมจะรีบแจ้งคุณทันที”
“ถ้าอย่างนั้น…..ก็ได้ค่ะ”
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนวางสายไปแล้วนั้น ยังคงไม่ค่อยวางใจอยู่ดี เธอต่อสายหาเสิ่นเฉียว กลับพบว่าโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายนั้นโทรไม่ติด ในสถานการณ์ที่จนปัญญาเช่นนี้ เธอจึงทำได้เพียงส่งข้อความไปหาเสิ่นเฉียวหนึ่งข้อความ ถ้าหากเธอไม่เป็นอะไรก็ให้เธอติดต่อกลับมาหาตัวเอง ถึงได้เก็บโทรศัพท์มือถือลงแล้วกลับบ้านไป
เสิ่นเฉียวนั่งพิงอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม คนรับใช้ยื่นชาร้อนแก้วหนึ่งส่งมาให้เธอ : “คุณหนูเสิ่นคะ เชิญดื่มชาร้อนก่อนนะคะ”
เสิ่นเฉียวนั่งพิงอยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับไปไหน และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอไม่มีแรงที่จะยื่นมือออกไปรับเลยด้วยซ้ำ แต่เธอยังคงหันไปส่ายหน้าให้กับคนรับใช้คนนั้นอย่างมีมารยาท หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ : “ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องหรอกค่ะ”
คนรับใช้ทำหน้ามึนงง หลังจากนั้นจึงยกแก้วชานั้นออกไป แล้วพบเข้ากับซูจิ่วเข้าพอดี ซูจิ่วมองดูแก้วชาใบนั้นที่ยังมีอยู่เต็ม ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น : “เธอไม่ยอมดื่มหรือ?”
คนรับใช้พยักหน้า : “ดูเหมือนคุณหนูคนนั้นจะอารมณ์ไม่ค่อยดีค่ะ ดังนั้นก็เลย……”
“ฉันเข้าใจแล้ว เธอไปทำงานต่อเถอะ” ซูจิ่วหัวเราะ แล้วส่งสัญญาณให้เธอออกไปก่อน คนรับใช้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเดินออกไป เธอรู้สึกกลัวจริงๆว่าซูจิ่วจะให้เธอจัดการกับเสิ่นเฉียวให้ได้ ถึงแม้ว่าเสิ่นเฉียวจะดูไม่มีพิษมีภัย ดูมีมารยาทก็ตาม แต่ให้มาจัดการกับคนที่อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้เธอคงทำไม่ได้
ซูจิ่วเดินเข้าไป แล้วเดินไปตรงด้านหน้าเสิ่นเฉียว เห็นอารมณ์ของเธอที่ยังดูแปรปรวนเหมือนตอนมานั้น อดที่จะยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้นไม่ได้ : “เรื่องอะไรกัน ที่ทำให้คุณหนูเสิ่นอารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้?”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้ว เสิ่นเฉียวจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับซูจิ่ว
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนเดินไปโทรศัพท์ เธอก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยความงุนงง หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหน เธอถึงได้พบว่าตัวเองเดินมาจนถึงถนนใหญ่แล้ว เห็นรถที่วิ่งกันอยู่เต็มท้องถนนเธอกลับมีความคิดอยากตายขึ้นมา
แต่ความคิดนี้เมื่อผุดขึ้นมาแล้วเธอก็รู้สึกตกใจกับตัวเอง
เธอตั้งครรภ์อยู่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่นึกถึงตัวเอง ก็ควรจะต้องนึกถึงลูกน้อยบ้าง
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ขยับตัวไปไหน แล้วนั่งอยู่ตรงข้างถนนมองดูรถที่วิ่งกันอย่างขวักไขว่อยู่ตรงนั้น
หลังจากนั้นก็มีรถคันหนึ่งมาจอดตรงหน้าเธอ ประตูรถเปิดออก
เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมา แล้วบังเอิญปะทะเข้ากับดวงตาที่สุขุมนุ่มลึกของหานชิงเข้าพอดี
“คุณหนูเสิ่น ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ?”
ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมานั้น ซูจิ่วรู้สึกตกใจกับดวงตาที่แดงก่ำและรอยน้ำตาบนใบหน้าของเธอ เธออ้าปากค้างอยู่นาน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา
แววตาที่ซับซ้อนของหานชิงมองไปที่เธอ สายตาของทั้งสองคนสบตากัน หลังจากนั้นไม่นาน….หานชิงก็ยื่นมือส่งไปให้เธอ
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร อย่ามานั่งร้องไห้ตรงนี้เลย ลุกขึ้นมาเถอะ”
น้ำหนักของคำพูดเขานั้นมีความเด็ดขาดเหมือนกับพี่ชาย และยังมีสายตาที่ดูเป็นห่วงนั่นทำให้เสิ่นเฉียวรู้สึกอบอุ่น เธอกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ ไม่ได้ลุกขึ้น แต่กลับหลบตาลงอีกครั้ง
“เงยหน้าขึ้นมา” ใครจะรู้ว่าเธอที่กำลังจะก้มหน้าลงนั้น จู่ๆหานชิงจะเอ่ยขึ้นมาอย่างดุๆเช่นนี้
เสิ่นเฉียวรู้สึกอึ้งไป แล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างงงๆ
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือ? ลุกขึ้น”
เสิ่นเฉียว : “…….”
เธอกัดริมฝีปาก อดที่จะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ : “ประธานหาน ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเพื่อนสนิทกับหานเส่โยว แต่…..นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมายุ่งเรื่องของฉันได้นะคะ?”
วันนี้เธออารมณ์ไม่ดีอย่างมากจริงๆ ประกอบกับ…..เธอรู้สึกว่าตัวเองกับหานเส่โยวก็ไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกแล้ว
ต่อไปโอกาสที่จะได้เจอกับหานชิงก็คงจะน้อยลงไปด้วย เดิมทีเธออยากจะสุภาพกับเขา เนื่องจากเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องราวระหว่างเธอกับหานเส่โยว จะไม่โทษคนอื่นอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากหานชิงจะมายุ่งเรื่องของเธอ เธอก็คงจะไม่พูดไม่ได้
ได้ยินดังนั้นแล้ว หานชิงจึงขมวดคิ้วขึ้นมา “เธอพูดว่าอะไรนะ?”
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากล่าง แล้วไม่ได้มองหน้าเขาอีก
และวินาทีต่อมานั้น จู่ๆหานชิงก็ยื่นมือออกมาจับไหล่ของเธอแล้วหิ้วตัวเธอขึ้นมา เป็นการเคลื่อนไหวที่ดูสบายๆยิ่งนัก เสิ่นเฉียวรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ
“เธอคิดว่าฉันอยากจะยุ่งกับเธอนักหรือไง? เธอต่างหากที่มาอยู่ตรงนี้แล้วส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ อีกทั้งยังขวางทางคนอื่นอีกด้วย”
น้ำเสียงของหานชิงเย็นชา แต่สายตาของเขานั้นกลับจับจ้องอยู่ที่เธอ
นึกไม่ถึงเลย…..แม้แต่ท่าทางโมโหยังเอาแต่ใจขนาดนี้
นี่คือ….น้องสาวที่เขาตามหามายี่สิบกว่าปีอย่างนั้นหรือ?
แย่จริง ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่ค้นพบกัน คนพวกนั้นทำไมถึงไปหาตัวหานเส่โยวมากัน? เธอรู้เรื่องนี้ของเสิ่นเฉียว หลังจากนั้นจึงขโมยความลับนี้ไปอย่างนั้นหรือ?
แต่…….ทำไมคนอื่นรู้เรื่องนี้กัน แต่ตัวเสิ่นเฉียวเองกลับไม่รู้?
เฮ้อ
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว หานชิงจึงถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความแปลกใจ
“ไปจากตรงนี้ก่อนดีกว่า ท่าทางเธอตอนนี้ดูจนตรอกมากเลยนะ”
เสิ่นเฉียวอึ้งไป แน่นอนว่าเธอรู้ว่าตอนนี้ท่าทางของตัวเองต้องดูจนตรอกเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่ได้แคร์ว่าตัวเองจะดูจนตรอกขนาดไหน
“พวกคุณไปกันก่อนเถอะค่ะ”
“ซูจิ่ว ส่งตัวเธอขึ้นมาบนรถ” หานชิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ซูจิ่วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นจึงเดินไปทางเสิ่นเฉียว แล้วจับมือเธออย่างสนิทสนม : “คุณหนูเสิ่น ที่นี่คนพลุกพล่านอันตรายนะคะ ฉันเห็นว่าตอนนี้คุณก็ไม่ได้มีเพื่อนอยู่ด้วย ไปจากที่นี่กับพวกเราก่อนดีกว่านะคะ”
หลังจากนั้น ซูจิ่วก็ดึงเธอขึ้นมาบนรถ ถึงแม้ว่าการกระทำนี้จะดูมีมารยาท แต่ท่าทางกลับยังคงดูแข็งๆเป็นอย่างมาก