บทที่340 ท้อแท้ใจ
“อา เปล่านะ เปล่า!” เสี่ยวเหยียนยิ้มแล้วปิดปากตัวเองเอาไว้ : “ฉันไม่ได้เข้าใจอะไรผิดสักหน่อย วางใจได้ เธอจะพักอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร อย่างมากฉันก็แค่มาอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกวัน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอบคุณเธอมากแล้วกัน หวังว่าเธอจะมาอยู่เป็นเพื่อนฉันทุกวันจริงๆนะ ไม่ใช่เพื่อมากินล่ะ”
“นี่! เสิ่นเฉียวนี่เธอพูดเกินไปแล้วนะ!!!”
วันต่อๆไป เสิ่นเฉียวก็พักอยู่ที่โรงแรมตลอดเวลาสามสี่วัน โดยที่ทุกวันไม่ได้ก้าวออกไปไหนเลย การใช้ชีวิตของเธอจะว่าไปก็มีเพียงแต่กินแล้วนอน นอนแล้วกินเพียงเท่านั้น โดยเธอตัดขาดข่าวจากโลกภายนอกทั้งหมด
ชีวิตที่ให้ความรู้สึกชาๆแบบนี้….เธอรู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ
แต่ มักจะมีบางคนและบางเรื่อง ที่ไม่ยอมให้เธอได้รับความสงบสุขที่แท้จริง
วันที่ห้า ออดหน้าประตูก็ดังขึ้นไม่หยุดตั้งแต่เช้าตรู่ เสิ่นเฉียวที่กำลังนอนฝันอยู่นั้นก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
ภายใต้ความจำใจนี้ เธอจึงต้องเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าเห็นว่าเป็นคุณแม่เสิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตู มองเธอด้วยใบหน้าที่ตกใจ
“แกอยู่ที่นี่จริงๆสินะ เด็กบ้า แกก็ให้ฉันตามหาตัวซะ!”
เห็นคุณแม่เสิ่นแล้ว ในหัวของเสิ่นเฉียวนั้นว่างเปล่าอยู่นาน ไม่ต้องรอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบรับคุณแม่เสิ่นก็แทรกตัวเข้ามาด้านในแล้ว ด้านหลังนั้นยังพาใครคนหนึ่งมาด้วย เสิ่นโย่วน้องสาวของเธอ
“โย่วโย่ว รีบเรียกพี่สิ” คุณแม่เสิ่นดึงเสิ่นโย่วมาตรงหน้าของเสิ่นเฉียว แล้วเอ่ยพูดขึ้นมา
พอพวกเขาเข้ามานั้น เสิ่นเฉียวก็หลีกทางให้พวกเขาไปโดยอัตโนมัติ ตัวเองก็เลยยืนอยู่ตรงชิดผนัง พอดีกับที่หลังของเธอแนบพิงกับผนังห้อง
ท่าทางของเสิ่นโย่วดูแล้วไม่ค่อยจะยินยอมและเต็มใจเท่าไรนัก เงยหน้าขึ้นมามองเธอแวบหนึ่ง สายตานั้นเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ เกลียดชัง โมโห หลากหลายความรู้สึกที่ประดังเข้ามาพร้อมๆกัน
แววตาของเสิ่นเฉียวสั่นไหว เสิ่นโย่วกำลังมองตาเธอ….
“เธอไม่ใช่พี่สาวของหนู ตอนนี้เธอเป็นคุณหนูของตระกูลหานแล้ว จะมารู้จักน้องสาวที่ไม่มีอะไรเลยแบบหนูได้ยังไง?”
ได้ยินแล้ว อาการที่แสดงออกมาทางใบหน้าของคุณแม่เสิ่นก็เปลี่ยนไป หลังจากนั้นจึงแสร้งยิ้มออกมา : “ขอโทษนะเฉียวเฉียว โย่วโย่วก็โวยวายไปอย่างนั้นแหล่ะ กลัวว่าแกจะทำเป็นไม่รู้จักตัวเองแล้ว แต่ถึงอย่างไรพวกแกก็โตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างพวกแกลึกซึ้งมากอยู่แล้ว โย่วโย่วเป็นน้องสาวของแก สนิทกันยิ่งกว่าน้องสาวแท้ๆ เฉียวเฉียว….เมื่อก่อนแกก็รักและเอ็นดูน้องมาตลอดใช่ไหม?”
“หึ ใครต้องการให้มารัก? แม่ ปล่อยหนูได้แล้ว!” เสิ่นโย่วสะบัดมือออก แล้วเบ้ปากทำหน้ามุ่ย : “หนูไม่ได้ต้องการให้เขามารัก เขาไม่เห็นหนูเป็นน้องสาวแล้ว”
เสิ่นโย่วเอาแต่ใจตัวเอง ตรงจุดนี้เสิ่นเฉียวรู้ดี
แต่เสิ่นเฉียวเห็นเธอเป็นน้องสาวของเธอจริงๆดังนั้นที่เธอมีปฏิกิริยาแบบนี้ เสิ่นเฉียวพอจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เอ่ยพูดออกไปนิ่งๆ : “แม่พูดไม่ผิดหรอก ฉันเป็นพี่สาวของเธอ”
ได้ยินแล้ว เสิ่นโย่วดูเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อ แล้วมองเธออย่างลังเล : “พี่ พี่…..พี่ยังยอมเห็นฉันเป็นน้องสาวอีกหรือ?”
เสิ่นเฉียวยิ้มออกมา : “ทำไมจะไม่ยอมล่ะ?”
ถึงแม้ว่าระหว่างพวกเธอจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่…..เธอเห็นครอบครัวนี้เป็นครอบครัวของตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสิ่นโย่ว เธอเห็นเสิ่นโย่วเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆของเธอมาโดยตลอด ถึงแม้ว่า บางครั้งเธอเองก็โมโหเสิ่นโย่ว แต่เสิ่นโย่วเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ เกลี้ยกล่อมเธอไม่กี่ประโยคก็จนปัญญากับเธอแล้ว
เสิ่นโย่วมองไปยังสายตาของเธอแล้วเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแปลกใจขึ้นมา เธอหดคอลง : “ฉัน….ฉันคิดว่าพี่กลายเป็นคุณหนูตระกูลหานแล้วจะไม่ยอมรับน้องสาวคนนี้อย่างฉันเสียอีก เพราะถึงอย่างไร…..ฉันก็ไม่มีอะไรเลย เมื่อก่อนมักจะทำให้พี่โมโห พี่จะต้องเกลียดฉันมากแน่ๆ”
เสิ่นเฉียวรู้สึกเลี่ยงไม่ได้กับคำพูดนี้ แต่ไม่ต้องรอให้เธออธิบายอะไรคุณแม่เสิ่นก็พูดอธิบายแทนเธอแล้ว
“แกพูดมั่วอะไรน่ะ พวกแกเป็นพี่น้องกัน พี่แกจะเกลียดแกได้ยังไง? เมื่อก่อนไม่ว่าเรื่องอะไรพี่แกก็มักจะยอมแกตลอด” พูดแบบนี้ก็เหมือนจะใช่ เสิ่นโย่วจึงไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมาในทันที
คุณแม่เสิ่นเห็นว่าอารมณ์ของทั้งสองคนนั้นนิ่งลงแล้ว สายตาจึงเริ่มมองพิจารณาภายในห้อง : “เฉียวเฉียวสองสามวันมานี้แกพักอยู่ที่นี่หรือ? ได้รับการติดต่อกับตระกูลหานแล้ว ทำไมไม่กลับไปอยู่ที่ตระกูลหานล่ะ? จะมาอยู่ที่แบบนี้ทำไม อา….”
เผชิญหน้ากับคุณแม่เสิ่น เสิ่นเฉียวยังคงนึกถึงคำพูดที่เธอพูดเมื่อคืนวันนั้น สีหน้าของเสิ่นเฉียวนั้นจึงเย็นชาขึ้นมา : “ที่นี่เงียบดีค่ะ หนูชอบ”
ได้ยินแล้ว คุณแม่เสิ่นรู้สึกว่าในใจของเธอนั้นราวกับถูกทิ่มแทง จนรู้สึกไม่สบายขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเอ่ยพูดขึ้น : “เงียบอะไรกัน ในโรงแรมเงียบที่ไหนกัน ไม่สะอาดด้วย แล้วอีกอย่างแกอยู่ที่นี่คนเดียวก็ไม่ปลอดภัย รีบเก็บของ ฉันจะพาแกกลับตระกูลหาน”
เอ่ยพูดจบแล้วคุณแม่เสิ่นยังผลักเธอเข้าไปในห้องจริงๆ แล้วเร่งรัดเธอ : “เร็วๆสิ วันนี้น้องสาวแกไม่มีเรียนพอดี ฉันจะได้พาน้องแกไปเยี่ยมชมบ้านหลังใหญ่ของตระกูลหานด้วย”
เสิ่นโย่วได้ยินแล้ว อาการที่แสดงออกทางใบหน้านั้นก็ดูมีความอึดอัดขึ้นมา เธอกัดริมฝีปากตัวเอง : “ใครอยากไปที่นั่นกันแม่…..หนูไม่ได้อยากไปซะหน่อย”
“พูดเหลวไหลอะไรอีก พวกเราเพียงแค่ไปดูเท่านั้น” คุณแม่เสิ่นพูดแล้วก็หันมายิ้ม : “เฉียวเฉียวรีบๆเก็บของสิ”
เสิ่นเฉียวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ จนผ่านไปสักพักหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณแม่เสิ่นก็ไม่ปรากฏต่อไปอีกแล้ว : “ทำไมแกยังไม่ขยับอีก?”
“หนูไม่อยากไปตระกูลหาน” น้ำเสียงของเสิ่นเฉียวนั้นแสดงออกมาถึงความเย็นชา “หนูชอบที่จะอยู่ที่นี่”
“แก! แกนี่มันโง่หรือเปล่า? แกเป็นคุณหนูของตระกูลหานแล้วนะ แกยังจะพักอยู่ที่โรงแรมนี่ทำไมอีก? หรือว่าแกอยากจะให้คนที่ตระกูลหานนั่นรู้สึกว่าแกไม่อยากกลับบ้านหลังนั้น แล้วถึงตอนนั้นแล้วตำแหน่งแกถูกคนอื่นแย่งไปจะทำยังไง??”
“ไม่หรอกค่ะ” เสิ่นเฉียวส่ายหน้าเบาๆ : “ของแบบนี้ คนอื่นแย่งไปไม่ได้หรอก หรือถึงแม้แย่งไปแล้ว ของที่ไม่ใช่ของเขาไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องได้คืนกลับมาอยู่ดี”
เช่นเดียวกับหานเส่โย่ว เธอกลายเป็นคุณหนูตระกูลหาน หลังจากที่มีหน้ามีตาอยู่ไม่กี่ปีก็จะต้องเอาตำแหน่งนี้กลับคืนมาให้เธอผู้เป็นเจ้าของ
ถึงตอนนั้นเธอ….ก็คงจะรู้สึกเหมือนกับตกลงมาจากบนเมฆลงมาเป็นผุยผง
ทำไมกัน?
คุณแม่เสิ่นไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา รู้สึกว่าที่เธอพูดมาแบบนี้ก็ถูก แต่….จุดประสงค์ของพวกเธอก็คืออยากจะไปเยี่ยมชมตระกูลหานนี่
คิดมาถึงตรงนี้ เธอก็ยังคงทำใจกล้าเอ่ยขึ้น : “ถ้าอย่างนั้นแกอยากจะอยู่ที่นี่ก็ได้ ฉันกับน้องสาวแกไม่เคยไปตระกูลหาน อยากจะไปเยี่ยมชมบ้างก็เท่านั้น”
“หนูไม่ได้เป็นเจ้าของตระกูลหาน เกรงว่าคงจะตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ คุณนายเสิ่นอยากจะไป ก็โทรหาคุณหานเลยสิคะ”
“แก แกเรียกฉันว่าอะไรนะ?” คุณแม่เสิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แล้วมองเธอด้วยความตกใจ : “นี่แกเรียกฉันว่าคุณนายเสิ่นอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของเสิ่นเฉียวเย็นชา แววตาก็ไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย
“ในเมื่อหนูไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเสิ่นของคุณแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องเรียกคุณว่าคุณนายเสิ่นแล้วล่ะค่ะ”
“แก นี่แกคิดอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเราตระกูลเสิ่นใช่ไหม? แกเรียกฉันว่าคุณนายเสิ่นนั่นคิดที่จะปฏิเสธอดีตของแกอย่างนั้นหรือ? เสิ่นเฉียว ฉันจะบอกแกให้นะ ฉันเลี้ยงแกมากับมือ ตอนนั้นเพื่อที่จะเลี้ยงดูแกฉัน……”
“ไม่มีใครปฏิเสธคุณงามความดีนี้ของคุณหรอกค่ะ ดังนั้นคุณนายเสิ่นไม่จำเป็นที่จะต้องรีบพูดเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ตระกูลเสิ่นควรจะได้รับ ตระกูลหานจะต้องไม่เอาเปรียบพวกคุณอยู่แล้ว”
คุณแม่เสิ่นได้ยินแล้วนั้น จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย : “ถ้าอย่างนั้นแกหมายความว่า…..”
“เสิ่นเฉียว ที่แกพูดมาหมายความว่าอะไร? แกหมายความว่าแม่กำลังแย่งความดีความชอบของคนอื่นมาอย่างนั้นหรือ? แกคิดจริงๆหรือว่าตัวเองบินไปเกาะกิ่งไม้ที่สูงแล้วจะมาดูถูกคนอื่นด้วยความเย่อหยิ่งแบบนี้ได้?”
ดูถูกคนอื่น? เสิ่นเฉียวมองเธอ : “หนูดูถูกใครอย่างนั้นหรือคะ?”