บทที่ 346 เรียกพี่ชาย
หานชิงนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าเสิ่นเฉียวกลับรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูก
เธอหยิบบัตรขึ้นมารูดเปิดประตูห้อง หลังจากนั้นก็ผลักประตูเปิดเข้าไป
“เข้ามาสิ”
หานชิงหยิบกระเป๋า และเดินตามเสิ่นเฉียวเข้าไปด้านใน
“ลุงหนานบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉันแล้ว”
เสิ่นเฉียวเอากระเป๋าที่อยู่ในมือวางลงบนโต๊ะ และพยักหน้า: “อื้อ จากที่คุณได้เคยตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องของฉันมาแล้ว คิดว่าเรื่องอดีตของฉันคุณก็น่าจะรู้หมดแล้วสินะ”
หานชิงเงียบ แต่ว่าใบหน้าของเขานั้นแสดงออกมาชัดเจนแล้วว่าเขานั้นรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
การที่ได้รู้เรื่องนี้ ยังไงก็ดีกว่าการที่ไม่รู้
เพราะเสิ่นเฉียวจะไม่ต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังอีกรอบในตอนที่ขอให้เขาช่วย ตอนนี้หานชิงนั้นรู้เรื่องราวละเอียดยิ่งกว่าที่เธอจะพูดออกมาเสียอีก เพราะงั้นเรื่องก็ง่ายขึ้นเยอะเลย
“คือว่า ฉันพอจะขอให้นายช่วยฉันสักเรื่องจะได้มั้ย?”
เมื่อได้ยิน หานชิงก็ยิ้มมุมปากขึ้นพร้อมกับพยักหน้า: “ได้แน่นอน แต่ว่า……”
แต่ว่า?เสิ่นเฉียวนิ่งไปเล็กน้อย ยังต้องมีเงื่อนไขอะไรอีกงั้นเหรอ?
“ถ้าไม่ใช่ญาติกัน ฉันก็คงไม่มีเหตุผลและคงที่จะช่วยเธอไม่ได้ ก่อนที่จะช่วยเรื่องนี้ เธอช่วยบอกฉันหน่อยสิว่าเธอยอมรับสถานะของตัวเองที่เป็นลูกสาวของตระกูลหานได้แล้วรึยัง?”
เสิ่นเฉียว: “……”
นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่เขาจะชี้ขึ้นมาก่อนนั้นจะเป็นเรื่องนี้
ในตอนนั้นเสิ่นเฉียวพูดอะไรไม่ออก
“นายหาน ฉัน……”
“ยังเรียกนายหานอีกเหรอ?” หานชิงยิ้มเล็ก ๆ และมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน
ตั้งแต่ได้รู้จักหานชิงมา เสิ่นเฉียวก็รู้สึกมาตลอดว่า หานชิงนั้นแม้ว่าจะใจเย็น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองก็ทำให้คนรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ ไม่สามารถที่จะอยู่ใกล้ ๆ ได้ ใบหน้าของเขานั้นมักจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา นับได้ว่าเป็นคนที่ตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความถูกต้องโดยไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์หรือความรักใด ๆ
ไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะสามารถมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นนี้ให้กับตัวเธอได้
นี่เป็นเพราะ……พลังของความรักอย่างนั้นหรือ?
เสิ่นเฉียวมองไปที่หานชิงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี หลังจากนั้น……เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเธอเป็นอะไร ราวกับโดนมนสะกดของความรักอย่างไรอย่างนั้น จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า: “พี่ชาย……”
เพียงแค่คำนั้นคำเดียวนั้น สิ่งที่เสิ่นเฉียวจะพูดก็ติดอยู่ที่ปาก เธอรีบเอามือมาปิดปากไว้ และไม่พูดอะไรออกไปต่อ
และก็เพียงแค่คำนั้นคำเดียวนั่น สำหรับหานชิงนั้นก็มากเพียงพอแล้ว
เขาจึงยกมือขึ้นมาอีกครั้ง เสิ่นเฉียวนั้นคิดที่จะมุดหลบ แต่ว่าสุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมเธอก็ยังคงนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้มือของหานชิงวางลงบนหัวของเธอได้
หานชิงนวดลงที่หลังหัวของเธอเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
“แค่นี้ก็พอแล้ว จำไว้นะหลังจากนี้เป็นต้นไปตระกูลหานจะคอยสนับสนุนเธอ ขอเพียงแค่เธอต้องการ พี่……ก็จะอยู่ที่นั่นทันที หลังจากนี้เธอก็เป็นน้องสาวของหานชิงแล้ว เข้าใจมั้ย?”
น้ำเสียงที่ราวกับว่ากำลังพูดอยู่กับเด็กทารกนี่มันอะไรกัน เสิ่นเฉียวกะพริบตาเล็กน้อย และก็พยักหน้าตอบรับไปโดยไม่คาดคิด
“เรื่องของเธอ อยากจะจัดการยังไงล่ะ?” หานชิงถามถึงเรื่องระหว่างเธอกับเย่โม่เซินขึ้นมา
“ฉันต้องการที่จะดำเนินการหย่ากับเขา แต่ว่า……ตอนนี้ฉันไม่อยากที่จะเจอเขาอีกแล้ว”
“ได้สิ เดี๋ยวฉันให้คนไปจัดการเดินเรื่องให้” หานชิงพยักหน้า เรื่องที่น้องสาวขอมา แน่นอนว่าตัวเขาที่เป็นพี่ชายนั้น จะต้องช่วยจัดการให้เรียบร้อย
แค่นี้เองเหรอ?เสิ่นเฉียวคิดว่าเขานั้นจะรู้สึกว่ามันยุ่งยาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะตกปากรับคำง่าย ๆ เช่นนี้
เสิ่นเฉียวคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้น: “ฉันสามารถ……ย้ายออกไปจากเมืองนี้ได้มั้ย?”
“เป็นเพราะเขา เธอก็เลยไม่อยากจะอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
แม้ว่าจะดูน่าอายอยู่บ้าง แต่เสิ่นเฉียวก็ยอมรับ: “ฉันไม่อยากที่จะเห็นเขาอีกแล้ว แล้วก็ยิ่งไม่อยากอาศัยในเมืองที่มีเขาอยู่อีกแล้ว ฉัน……”
“ไม่มีปัญหา ที่ต่างประเทศพวกเราตระกูลหานเองก็มีกิจการอยู่ สามารถส่งเธอไปต่างประเทศได้ อยู่ที่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่?”
ไปต่างประเทศ?เสิ่นเฉียวไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน เธอนั้นต้องการเพียงแค่หลีกให้ห่างจากเมืองนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าหานชิงจะบอกขึ้นมาว่าให้เธอไปต่างประเทศ
“หลังจากไปต่างประเทศแล้วเธอก็ไปเรียนต่อสิ หลังจากนี้เธอจะได้มีอนาคตที่ดีขึ้น น้องสาวของหานชิงคนนี้นั้น……เป็นคนที่ยอดเยี่ยม และไม่ถูกผูกมัดกับผู้ชายบางคน ฉันเชื่อว่าหลังจากนี้เธอก็จะพบกับคนที่ดีกว่านี้”
“เรื่องของเย่โม่เซินที่นี่ มีฉันคอยจัดการแทนเธอ ถ้าหากเธอยินดีแล้วล่ะก็ ……”
“ฉันยินดี!” เสิ่นเฉียวเอาแต่พยักหน้า ใช้แรงที่มีกัดริมฝีปากล่าง เบิกตาโตและมองไปที่หานชิง: “ฉันอยากไปวันนี้เลย!”
ในตอนนี้ถึงก็เป็นตาของหานชิงแล้วที่ต้องตะลึง เขามองเธออย่างไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ตอบรับไป
“ได้เลย เดี๋ยวฉันให้ซูจิ่วไปเตรียมตัวให้แทน ส่วนเธอก็ไปจัดของสักหน่อย ดูว่ามีอะไรที่ต้องเอาไปบ้าง ฉันขอตัวกลับบริษัทก่อน”
หลังจากหานชิงจากไป เสิ่นเฉียวก็เข้าไปในห้องลงมือจัดของเก็บของทันที
ในขณะที่เธอกำลังเก็บของจัดของอยู่นั้นก็เพิ่งจะรู้ว่า เธอนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องเก็บเลย ก่อนที่จะเข้าไปในตระกูลเย่ไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเธอเองเลย หลังจากที่เข้าไปในตระกูลเย่แล้ว……ของต่าง ๆ มากมายนั้นเป็นของที่เย่โม่เซินมอบให้เธอ
ในตอนนั้นเองเธอก็เพิ่งจะพบว่า ตลอดอายุ 20 กว่าปีที่เธอใช้มานั้น มันราวกับเป็นเพียงแค่ความฝัน
ไม่ว่าของอะไรก็ไม่มีสักอย่าง
เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตได้เช่นนี้นั้นมันช่างดูน่าตลกจริง ๆ จึงไม่ได้จัดของอะไรเพิ่มเติม ทำเพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่าง
ยาวไปจนถึงช่วงบ่าย ซูจิ่วก็มารับเธอที่โรงแรม
“คุณหนูเสิ่นนายหานให้ฉันมารับคุณค่ะ ตั๋วเครื่องบินฉันได้จองไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว เป็นไฟลท์รอบ 2 ทุ่ม ไม่ทราบว่าติดปัญหาอะไรมั้ย?”
“ไม่มี” เสิ่นเฉียวส่ายหน้า: “แค่นี้ก็ดีมากแล้วล่ะ ขอบคุณนะ”
ซูจิ่วมองไปที่เธอ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูด แต่ท้ายที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น: “คุณหนูเสิ่นไม่ทราบว่าได้บอกลาเพื่อน ๆ และญาติ ๆ ที่อยู่ในประเทศเรียบร้อยรึยัง?ต้องการจะไปแล้วจริง ๆ ใช่มั้ยคะ?หลังจากที่ไปแล้ว……จะไม่เสียใจทีหลังใช่มั้ยคะ ?”
เพื่อนและญาติที่อยู่ในประเทศ?
คนแรกที่เสิ่นเฉียวคิดถึงก็คือเสี่ยวเหยียน ถ้าหากว่าเธอไปแล้วล่ะก็ เสี่ยวเหยียนจะต้องคิดถึงเธอเป็นแน่
แล้วก็จากนิสัยของเธอ ก็คงรีบบอกห้ามไม่ให้เธอไป
ช่างเถอะ ไว้ไปแล้วค่อยบอกเธอทีหลังก็แล้วกัน
ส่วนคนอื่น ๆ น่ะ……
“ฉันไม่มีอะไรที่จะต้องแจ้งหรอก เรื่องทางด้านของตระกูลเสิ่นพอจะรบกวนเลขาซูได้มั้ย?”
เลขาซูตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ตกปากรับคำ: “เรื่องนั้นได้แน่นอนค่ะ เพียงแค่คุณหนูเสิ่นต้องการอะไร ซูจิ่วคนนี้ก็ทำให้ได้ทั้งนั้น”
“ถ้างั้น ไปกันเถอะ”
เสิ่นเฉียวหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น
ซูจิ่วถึงกับตะลึง: “คุณหนูเสิ่นไม่มีของที่จะเอาไปเลยหรอ?ไปแบบนี้เลยเหรอ?”
“แค่นี้พอแล้วล่ะ ฉันไม่มีอะไรที่จะเอาไปด้วยได้ ชุดไม่กี่ชุดแค่นี้ก็พอแล้ว”
ท้ายที่สุดซูจิ่วก็ส่งเธอไปยังสนามบิน ตอนที่ถึงสนามบินก็เป็นเวลาประมาณ 5 โมงกว่าแล้ว
“ยังพอจะมีเวลา ประธานหานไปประชุมแล้ว ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลังคงถึงสนามบิน เขาจะมาส่งคุณหนูเสิ่น”
“อื้ม”
ทั้งสองคนจึงรออยู่ที่สนามบินอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดหานชิงก็มาถึง
หานชิงนั้นคงจะรีบมาเป็นอย่างมาก ดูจากอาการของเขาที่ค่อนข้างเหนื่อย เขาให้สัญญาณกับซูจิ่ว ซูจิ่วก็หยิบเอาตั๋วเครื่องบินกับบัตรผ่านออกนอกประเทศในกระเป๋าตัวเองออกมา
“นี่คือ……”
เสิ่นเฉียวรับมา เห็นว่าด้านหน้านั้นติดรูปของเธอไว้ แต่ว่าชื่อนั้นกลับไม่ใช่เสิ่นเฉียว แม้แต่วันเกิดหรือที่เกิดเองก็ต่างเปลี่ยนไปทั้งสิ้น
เสิ่นเฉียวที่เกือบจะเข้าใจว่าตัวเองนั้นหยิบมาผิด ก็ได้ยินเสียงนิ่ง ๆ ของหานชิงดังขึ้นมาจากด้านบนหัวของเธอ
“มู่จื่อ”
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ตอนที่เธอเพิ่งเกิด นี่น่ะเป็นชื่อที่นายท่านมอบให้เธอ หลังจากนี้เธอนั้นจะเป็น……สกุลหาน ที่ชื่อว่ามู่จื่อ”
“หานมู่จื่อ……” เสิ่นเฉียวเอานิ้วลูบลงไปที่รูปภาพของตัวเอง เธอชื่อนี้เองหรอกเหรอ?