เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ – ตอนที่ 353 เวลาก็คืออาวุธ

บทที่ 353 เวลาก็คืออาวุธ

ท่าทางเขินอายของเธอ ทำให้หานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะแกล้งเธอต่ออีกสักหน่อย แต่ว่าในจังหวะที่เธอกำลังจะพูดออกมานั้น ก็มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี

ในตอนแรกทั้งคู่ต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน หลังจากนั้นเสี่ยวเหยียนก็เหมือนกับว่าตอบโต้กลับไป: “แย่แล้ว วันนี้ไม่ใช่ว่ามีนัดวัดตัวลูกค้าอย่างนั้นเหรอ?โทรศัพท์นี้คงจะโทรเพื่อมาเตือนแน่เลย”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น สีหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก รีบหันกลับวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบนอย่างไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว หานมู่จื่อมองไปที่เวลา ตอนนี้กว่าจะถึงเวลานัดยังพอจะมีเวลา 1 ชั่วโมง

ได้ยินว่าวันนี้นักแสดงสาวจะมาที่เมืองซู ถ้าพวกเธอเดินทางจากตรงนี้ไปก็จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาที

อื้ม ยังพอมีเวลาอยู่

หานมู่จื่อคำนึงถึงเวลาในใจเธออย่างเงียบ ๆ ต่อมา 5 นาทีให้หลัง เสี่ยวเหยียนก็แต่งตัวเป็นที่เรียบร้อยและลงมาที่ชั้นล่าง เธอเอาโทรศัพท์มือถือไปใส่ไว้ในมือของหานมู่จื่อ พร้อมกับวิ่งไปที่ชั้นวางรองเท้าเพื่อเปลี่ยนรองเท้า

“เวลาจะไม่ทันอยู่แล้ว ช่วยเรียกรถให้ฉันหน่อย”

หานมู่จื่อไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงรับโทรศัพท์ไว้ในมือ ใส่รหัสปลดล็อก หลังจากนั้นก็เรียกรถมาให้เธอคันหนึ่ง

“เรียบร้อยแล้ว”

เสี่ยวเหยียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและไปด้านนอก แล้วก็พูดขึ้น: “คุณนี่ใจร้ายจริง ๆ เลย รู้ว่าวันนี้มีงานเมื่อวานก็ยังไม่ยอมเตือนฉันสักหน่อย แถมยังให้ฉันกินจนเมาขนาดนั้นอีก……”

ปัง!

หลังจากปิดประตูไป ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนก็ดูหดหู่และพูดขึ้น: “ยังกลัวอยู่เลยว่าไปทำอะไรที่เสียภาพพจน์ต่อหน้าผู้ชายในฝัน ตื้ด ๆ !จะสายแล้ว!”

เมื่อเสี่ยวเหยียนออกไป หานมู่จื่อก็ขึ้นชั้นบนเพื่อไปปลุกเสี่ยวหมี่โต้ว

ในตอนที่เข้าห้องไปเสี่ยวหมี่โต้วนั้นยังคงหลับอยู่ ร่างน้อย ๆ นั้นกำลังกอดหมอนใบใหญ่ ๆ อยู่ ดูแล้วเป็นภาพที่น่าตลกมาก

“เสี่ยวหมี่โต้วตื่นได้แล้ว” หานมู่จื่อระหว่างที่กำลังค่อย ๆ เรียกเขา ก็นั่งลงบนเตียง

“อืออ……” เสี่ยวหมี่โต้วร้องออกมาเบา ๆ หลังจากนั้นก็ไม่เห็นร่างน้อย ๆ ของเขาขยับใด ๆ อีก ยังคงกอดหมอนหลับสนิทอยู่เช่นนั้น

หานมู่จื่อดูอยู่พักหนึ่ง “ใกล้จะเที่ยงแล้ว ยังไม่ลุกอีกเหรอ?”

พอทำเช่นนั้นเสี่ยวหมี่โต้วจึงจะยอมลืมตาขึ้น และมองดูเธอด้วยตาที่สะลึมสะลือ

เพียงแต่ว่ากลับทำให้หานมู่จื่อที่ถูกสายตานั้นมอง ถึงกับตะลึงนิ่งไปชั่วขณะ

เหมือนกันเกินไปแล้ว……

ในตอนแรกหานมู่จื่อนั้นก็ได้ให้กำเนิดเขาออกมา หลังจากนั้นเห็นเขาค่อย ๆ โตขึ้นทุกวัน ๆ ในตอนที่เขายังเด็กอยู่นั้นหานมู่จื่อก็รู้สึกว่าใบหน้าของเด็กคนนี้นั้นช่างเหมือนกับเย่โม่เซินจริง ๆ และเพราะสิ่งนั้นเองที่ทำให้เธอยังคงหัวเราะเยาะตัวเองอยู่เสมอ

ว่าทำไมถึงแม้จะผ่านไปนานขนาดนี้แล้วแต่เธอก็ยังคงจำเขาคนนั้นได้ ทำให้เมื่อมองเด็กคนนี้จึงได้รู้สึกว่าคล้ายกับเย่โม่เซิน。

แตว่า……ให้หลังเสี่ยวเหยียนก็พูดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงทำให้หานมู่จื่อรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย

ดังนั้นเธอจึงคิดว่า หรือว่าการที่เสี่ยวหมี่โต้วนั้นโตมาเหมือนกับเย่โม่เซินนั่นก็เพราะว่า เย่โม่เซินกับเย่หลิ่นหานเป็นพี่น้องกัน?เพราะฉะนั้นแล้วจึงมียีนลักษณะเดียวกัน?

ไม่อย่างนั้น……จะโตมาเหมือนขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

ต่อมาเมื่อเด็กน้อยโตขึ้น โตขึ้นเรื่อย ๆ โครงสร้างต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ขยายขึ้น เขานั้นก็โตมามีหน้าตาเหมือนกับเย่โม่เซินขนาดที่สามารถพูดได้ว่า ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันเลยทีเดียว

เพียงแต่ว่า เขานั้นเป็นเวอร์ชันน่ารักก็เท่านั้นเอง

เกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้ หานมู่จื่อก็คิดไม่ตกมาโดยตลอด จนหลัง ๆ มานี้เธอก็เลิกคิดมันไปแล้ว เพราะว่าคิดไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา

หลัง ๆ มานี้เธอต้องการเพียงแค่มีชีวิตที่ดีไปวัน ๆ และเลี้ยงดูเสี่ยวหมี่โต้วให้เติบโตขึ้นได้ก็เพียงพอแล้ว

“ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?” หานมู่จื่อนั้นก็ไม่ได้โกรธ เรียกเขาด้วยเสียงเบา ๆ

เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วเห็นชัด ๆ แล้วว่านั่นคือหานมู่จื่อ ก็ขยี้ตาเล็กน้อย และลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่อฟัง “อือ หม่ามี๊ วันนี้ดูเหมือนว่าผมจะตื่นสายไปหน่อย”

“เธอเองก็รู้ว่าตัวเองตื่นสายแล้ว เมื่อคืนไปทำอะไรมาล่ะ?นอนไม่หลับเหรอ?”

เสี่ยวหมี่โต้วทำหน้าสับสน “หม่ามี๊เมื่อคืนน่ะผมนอนไม่ค่อยหลับ……คุณลุงน่ะเล่าเรื่องให้ผมฟังยาวเลย”

เมื่อได้ยินหานมู่จื่อตกใจเล็กน้อย ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้นั้นตอนที่เธอคุยกับหานชิง ดูเหมือนว่าเขานั้นจะอารมณ์ดีพอสมควร ไม่คิดว่าเมื่อคืนเขานั้นจะ……

คนคนนี้จะเก็บอาการเก่งเกินไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเธอที่เป็นน้องสาว เขาที่เป็นพี่ชายนั้นไม่เคยที่เป็นห่วงกับสุขภาพของตัวเองเลย

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หานมู่จื่อตบไปที่แก้มของเสี่ยวหมี่โต้วเบา ๆ : “เอาล่ะ ตื่นได้แล้ว วันนี้น้าเสี่ยวเหยียนของเธอมีงานต้องทำ อีกเดี๋ยวหม่ามี๊จะพาเธอออกไปกินข้าวข้างนอก แล้วก็ถือโอกาสไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ นี้ดูว่ามีอะไรที่จะต้องซื้อเพิ่มบ้าง”

แค่ได้ยินว่าจะไปห้างสรรพสินค้า เสี่ยวหมี่โต้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียง: “ได้เลยหม่ามี๊ รอผมสัก 10 นาทีนะ!”

เจ้าตัวน้อยนั้นทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว บอกว่าจะตื่นก็ตื่นนอนทันที

หานมู่จื่อเองก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้า

เมื่อเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็มองจ้องไปที่ตัวเองในกระจกอยู่สักพัก

เมื่อนานมาแล้ว เธอนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว……ถ้าหากไม่แต่งหน้าเธอก็จะไม่สามารถออกไปข้างนอกได้

เวลาก็เหมือนกับอาวุธอย่างดีเล่มหนึ่ง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ต่างก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

*

“อยู่เมืองเป่ยก็ดีอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องย้ายไปที่เมืองซูด้วย?”

ที่หน้าต่างบานหนึ่ง มีชายหนุ่มยืนเอามือไขว้หลังอยู่ เงาเพรียว ๆ นั้นทอดยาวลงมาจากหน้าหน้าต่างฝรั่งเศส ชุดสูทสีมืดมิดที่สวมอยู่บนตัวของเขาก็กลับไม่ดูโบราณ แต่กลับดูมีเสน่ห์ของผู้ชายเสียมากกว่า แม้ว่าชายหนุ่มจะมีทรวดทรงที่ผอมเพรียว แต่ว่าก็กลับสามารถเห็นทรวดทรงของเขาผ่านชุดสูทนั้นได้

เขานั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย ทำให้แววตาของเขานั้นราวกับสายตาของเหยี่ยว สอดส่องดูได้ทั่วทั้งเมือง และปากบาง ๆ ของชายหนุ่มก็พูดขึ้นอีกว่า: “ช่างเถอะยังไงก็ย้ายมาที่นี่แล้ว ว่าแต่ตั้งแต่เมื่อไรกันล่ะที่คุณเริ่มจะชอบอาศัยอยู่ในชั้นสูง ๆ ?”

หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งสวมชุดอยู่บ้านเดินตรงออกมาจากห้องครัว มัดผมเอาไว้ ลักษณะภายนอกดู ๆ แล้วก็เหมือนกับผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง แต่ว่าถ้ามองที่หางตาของเธอดี ๆ แล้วก็จะพบว่ามีรอยตีนกาจำนวนมาก จึงพอจะรู้ได้ว่าจริง ๆ แล้วอายุเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว

หญิงสาวเอาจานผลไม้วางลงบนโต๊ะ และหยิบองุ่นขึ้นมากิน

“งั้นคุณอยู่ที่เมืองเป่ยก็ดีอยู่แล้วนี่ จะมาถึงที่นี่ทำไมกัน?เมืองซูน่ำเป็นสถานที่น่าสนใจ แล้วฉันก็ชอบอากาศของที่นี่ แล้วมันทำไมล่ะ?”

ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นนั้น

หญิงสาวมองไปที่ด้านหลังของเขา และหยิบองุ่นขึ้นมาใส่ปากอีกคำ แล้วก็พูดขึ้น: “เป็นไปได้มั้ยนะว่าเขาผู้โดดเดี่ยวคนนั้นรู้สึกเจ็บมามาก เลยวิ่งมาหาป้าคนนี้เพื่อมองหาความอบอุ่น?งั้นฉันขอบอกเธอไว้เลยนะโม่เซิน ป้าคนนี้ไม่มีความอบอุ่นที่เธอตามหาอยู่หรอก เธอก็เห็นอยู่ว่าที่นี่น่ะก็มีแค่ป้าคนเดียวเท่านั้น”

“ใช่งั้นเหรอ?”

ชายหนุ่มพูดขึ้นเบา ๆ “ทำไมป้าถึงยังอยู่คนเดียวอยู่อีกล่ะ อายุเองก็มาปานนี้แล้ว”

“เจ้านี่ พูดอะไรของเธอน่ะ?ไม่มีมารยาทเลยจริงเชียว?” เมื่อพูดจบหญิงสาวก็ถอนหายใจ: “เธอคิดว่าฉันอยากจะอยู่คนเดียวรึไง อันที่จริงก็เป็นเพราะเรื่องแม่ของเธอนั่นแหละที่ทำให้ฉันได้รับผลกระทบมากขนาดนี้ ในปีนั้นฉันได้เห็นมันกับตาของตัวเองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น……ฉันก็ได้ตรวจสอบมาแล้ว ฉันไม่สามารถที่จะตั้งครรภ์ได้ ชาตินี้ทั้งชาติ……ขออยู่คนเดียวซะจะดีกว่า แม่ของเธอส่งมอบเธอมาให้ฉัน ฉันก็ถือว่าเธอน่ะเป็นเหมือนลูกของฉัน”

เมื่อได้ยิน ชายหนุ่มก็หันกลับมาแล้วขมวดคิ้วขึ้น

“คุณ?”

“ทำไม?เธอไม่พอใจเหรอ?” หญิงสาวตบลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ

เธอก็คือป้าของเย่โม่เซิน ส้งอาน

ส้งอานลุกขึ้นและตรงไปข้างหน้าต้องการที่จะดึงหูของชายหนุ่ม แต่กลับถูกชายหนุ่มคนนั้นหลบไปได้

“ยังไงก็เถอะฉันไม่สนหรอก หลังจากนี้ถ้าหากว่าฉันลุกเดินขยับไม่ไหวแล้ว เธอที่เป็นลูกก็ต้องเลี้ยงดูฉันยามแก่”

เย่โม่เซินเหลือบตามองเธอเบา ๆ คว้าหยิบกุญแจรถเพื่อเตรียมจะออกไป

“จะไปไหน?ดูเหมือนว่าเธอจะว่างทั้งวันนี่ ไม่ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตข้างล่างมาให้ฉันสักหน่อยล่ะ”

เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่

เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่

เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ ถูกบังคับเป็นตัวแทนของงานแต่งงานนี้ เธอแต่งงานกับผู้ชายที่พิการแต่กลับมีอำนาจใหญ่ “ฉันเย่โม่เซินไม่เอาผู้หญิงที่ท้องและไม่รู้ว่าพ่อของลูกเป็นใครเด็ดขาด”เดิมทีคิดว่างานแต่งงานนี้เป็นการแลกเปลี่ยน แต่เธอกลับเผลอใจ ไปไปมามา สุดท้ายเธอก็จากไปด้วยความเสียใจผ่านไปหลายปี ลูกชายที่หน้าตาคล้ายกับเขามากตบหัวของเย่โม่เซินด้วยฝ่ามือเล็กๆ“พ่อคนร้าย นายว่าใครเป็นเด็กที่ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเป็นใคร?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset