บทที่ 364 เกิดอะไรขึ้น
“อย่าไปสนใจเธอ ฉันว่าสมองของเธอมีปัญหา”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน เมื่อกี้บอกไม่ให้พวกเขาไป ผลคือตัวเองกลับจ้องแผ่นหลังเขาอย่างไม่วางตา มองหลังก็แล้วไป ยังมาถามพวกเราอีกว่ามีคนเดินผ่านไปไหม นี่ไม่ใช่ปัญญาอ่อนหรือไง! “
เด็กผู้หญิงหลายคนบ่นในขณะที่เดินออกไป
เสี่ยวเหยียนยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานก่อนที่เธอจะได้สติกลับมา จากนั้นเธอจึงมองไปยังทิศทางที่เย่โม่เซินหายตัวไปเมื่อครู่ และพบว่าเขาเข้าไปในรถคนหนึ่ง เธอแยกแยะหมายเลขทะเบียนของรถคันนั้นอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่ามันมาจาก เมืองเป่ย
ที่แท้ไม่ใช่ว่าเธอตาฝาด อีกทั้งไม่ใช่ว่าเธอหลอนไปเอง แต่พบเขาเข้าให้แล้วจริงๆ
โชคชะตา….
ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและน่ากลัวเสียจริง
ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนเป็นสีขาวอีกครั้ง จากนั้นเธอก็รีบหันตัวจากไป
หลังจาก หานมู่จื่อกลับไปที่รถพร้อม เสี่ยวหมี่โต้ว เสี่ยวหมี่โต้ว ก็หลับไปในอ้อมแขนของเธอ มือเล็กๆ โอบเอวเธอไว้แน่น
นี่คือนิสัยของ เสี่ยวหมี่โต้ว ทุกครั้งที่ออกจากบ้านหากต้องการนอนหลับเขาจะยื่นมือออกมากอดหานมู่จื่อเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าเธอจู่ๆ จะหายไป
หานมู่จื่อลูบหัวของเขาไปในขณะที่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้
ไม่รู้ว่าคืนนี้จะต้องติดอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน
ในขณะกำลังนึกคิด โทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่นขึ้นมา หานมู่จื่อหยิบออกมาดู เป็นหานชิงที่ส่งข้อความมา
[อยู่ที่ไหนแล้ว?]
เมื่อเห็นหานชิง จู่ๆ หานมู่จื่อก็อารมณ์เสียขึ้นมา เธอตอบกลับไปประโยคหนึ่ง
[ขอบคุณนาย ตอนนี้พวกเราติดอยู่บนทางหลวง]
[เกิดอะไรขึ้น?]
หานชิงส่งกลับมาเร็วอย่างยิ่ง จากคำสี่คำนั้น หานมู่จื่อแทบจะมองเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังถือมือถือขมวดคิ้วอยู่ในทันที
ช่างเห็นภาพได้ชัดอะไรขนาดนั้น
หานมู่จื่อรีบส่งข้อความไปก่อนที่เขาจะโทรมา
[เสี่ยวหมี่โต้ว กำลังหลับอยู่]
เขาหยุดไปชั่วขณะ และผ่านไปสักพักถึงจะตอบกลับ
[เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะโทร?]
[ไม่อย่างนั้นฉันจะเป็นน้องสาวของพี่ได้หรือไง? มีรถระเบิดอยู่ข้างหน้า ตำรวจกำลังจัดการ ผ่านไปนานมากแล้ว]
[ทำไมเธอไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันจะไปรับเธอทันที]
หานมู่จื่อราวกับกำลังเห็นภาพหานชิงที่กำลังพุ่งตรงจากประตูมาอย่างไม่คิด เธอรีบส่งข้อความไป
[ไม่ต้องมารับ รออีกสักครู่พวกเราก็จะออกเดินทางแล้ว]
แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับ หานมู่จื่ออ่อนใจ พอจะเดาได้ว่าตอนนี้เขาคงจะเตรียมตัวออกจากบ้านแล้ว
ปัง!
ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเหยียนก็กลับมา เธอเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถพร้อมกับอากาศหนาวเย็นที่เล็ดลอดเข้ามาด้วยหานมู่จื่อรีบก้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวเพื่อบังอากาศเย็นให้กับ เสี่ยวหมี่โต้ว
“กลับมาแล้ว? ” หานมู่จื่อถามเบาๆ
เสี่ยวเหยียนถูกทำให้ตกใจไปไม่เบา ดังนั้นตอนนี้สีหน้าของเธอยังคงซีดขาว เธอหันไปสบตากับหานมู่จื่อดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของตนเองเลยสักนิด และทำแค่พยักหน้าด้วยความงุนงง
หานมู่จื่อมองดูเธออย่างนิ่งงัน “เกิดอะไรขึ้น?”
“หา? ” เสี่ยวเหยียนเสียงดังอยู่บ้าง พูดจบเธอถึงค่อยสังเกตเห็นว่าเสียงของตนอาจจะรบกวนเสี่ยวหมี่โต้ว เธอรีบเอื้อมมือมาปิดปากเอาไว้ และส่ายหัวพูดเสียงเบา “ไม่มีนี่”
“ไม่มี?” หานมู่จื่อเห็นดวงตาหลบเลี่ยงของเธอก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เธอเลิกคิ้ว “หน้าของเธอขาวอย่างกับผี แล้วยังกล้าบอกอีกว่าไม่มีอะไร?”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็รีบเอามือปิดหน้า
สีหน้าเธอขาวมากหรือ? แย่แล้ว
เสี่ยวเหยียนรีบหยิบกระจกออกมามอง จากนั้นจึงพบว่าสีหน้าของตนย่ำแย่อย่างยิ่ง เธอหยิบบลัชออนออกมาปัดหานมู่จื่อที่อยู่ข้างๆ หันไปกระซิบเสียงเบา “ไม่ต้องปัดแล้ว ดวงตาของเธอมันทรยศเธอตั้งนานแล้ว พูดมา เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่เธอทำตัวแปลกๆ เกิดอะไรกันแน่?”
มือของเสี่ยวเหยียนชะงักไป จากนั้นเธอจึงปิดกล่องบลัชออนและหันไปหา หานมู่จื่อเสี่ยงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังอย่างยิ่ง “อันที่จริงฉันปวดท้อง อยากจะอึ!”
หานมู่จื่อ “……”
“ที่แบบนี้ จะมีห้องน้ำได้ยังไงกัน? ได้แต่อดทน ฉันทนจนเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาแล้วมู่จื่อ
หานมู่จื่อ “…..”
“โอ้ย อยากเข้าห้องน้ำ” เสี่ยวเหยียนลูบแก้มของตนด้วยรอยยิ้มแห้งๆ พระเจ้ารู้ดีว่าที่เธอโกหกคำโตแบบนี้ก็เพื่อที่จะซ่อนอารมณ์ตนเอง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกอาย
โชคดีที่ไม่มีผู้ชายอยู่ในนี้ ไม่อย่างนั้น….คำพูดเหล่านี้เธอคงไม่กล้าเอ่ยแน่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนก็แกล้งยิ้มออกมา
หานมู่จื่อพูดไม่ออกไปชั่วขณะ อีกทั้งยังไม่สามารถบอกได้ว่าเสี่ยวเหยียนพูดความจริงหรือไม่ ครู่ต่อมาเธอถามอีกครั้ง “ตอนนี้เธอจะทำยังไง? ทนไหวไหม?”
“แน่นอน” เสี่ยวเหยียนพยักหน้าอย่างแรง “ถูกฉันกลั้นกลับไปแล้ว”
หานมู่จื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ฉันว่าจากนี้เธอไม่ต้องเข้าครัวแล้ว”
เสี่ยวเหยียน “ทำไม? ”
“ผ่านบทสนทนาในคืนนี้ไป จากนี้ฉันก็ไม่สามารถสบตาเธออีก”
เสี่ยวเหยียน “…. “
สิบกว่านาทีต่อมา รถยนต์บนทางหลวงก็ได้รับแจ้งว่าสามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้แล้ว
ดังนั้นรถจึงแล่นไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสี่ยวเหยียนกังวลขึ้นมาอีกครั้ง เธอเกาะอยู่ที่หน้าต่างและมองไปยังรถยนต์รอบๆ คงไม่พบกับเย่โม่เซินเข้าให้หรอกมั้ง?
คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงกังวลอย่างยิ่ง ระยะทางไปเมืองเป่ยยังอีกยาวไกล ถ้าเธอและมู่จื่อไปที่อื่นก็คงแล้วไป แต่นี่ดันไปเมืองเป่ยถึงแม้เสี่ยวเหยียนจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เย่โม่เซินจึงปรากฏตัวในเมืองซูอย่างไร้สาเหตุ แต่เธอกลัวจริงๆ ว่ามันจะทำให้มู่จื่อต้องเสียใจ
ดังนั้นเรื่องที่เธอเห็นเย่โม่เซินเธอย่อมไม่กล้าที่จะพูดต่อหน้าหานมู่จื่ออย่างแน่นอน
“เป็นอะไร? เธออดกลั้นไม่ไหวอีกแล้วหรือ?”
น้ำเสียงแผ่วเบาดังมาจากข้างๆ เธอ เมื่อเสี่ยวเหยียนหันหน้าไปเธอก็เห็น หานมู่จื่อกำลังมองตัวเองพร้อมรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ดวงตาที่เย็นชาของเธอราวกับทะเลสาบน้ำแข็งราวที่สามารถสะท้อนทุกสิ่งอย่างออกมาจนหมด
จู่ๆ เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ที่เธอแกล้งทำตัวแบบนั้นออกไปต่อหน้าหานมู่จื่อเป็นแค่เรื่องที่ทำให้ตัวเองอับอายเท่านั้น อันที่จริง ตนเองคิดอะไรอยู่เธอคงดูออกไปหมดแล้ว
แต่ถึงยังไง เธอเองก็จะแสร้งทำตัวโง่งมไปให้ถึงที่สุด
ยังไงเสีย หานมู่จื่อก็คงคิดไม่ถึงคนๆ นั้นแน่ เธอจึงทำเพียงแค่หลับตาและนั่งลงอยู่ข้างหนึ่งไม่ตอบคำถาม หานมู่จื่ออีกต่อไปอีกทั้งยังไม่แสร้งทำตัวอะไรต่อ
เธอไม่ต้องการพูด หานมู่จื่อเองก็ไม่บังคับเธอเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง ความลับของเสี่ยวเหยียน ปล่อยให้เธอเป็นผู้คุ้มกันมันก็พอแล้ว
บนถนนที่มีคนพลุกพล่านในตอนแรก ไม่นานนักก็แปรเปลี่ยนเป็นโล่งขึ้นมา รถยนต์เคลื่อนที่ไปอย่างราบรื่นท่ามกลางความมืด หานมู่จื่อเองก็เริ่มค่อยๆ รู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน ประกอบกับเสียงของเสี่ยวเหยียนที่ดังขึ้น
“เธอนอนก่อนเถอะ เมื่อครู่ฉันนอนไปแล้วยังไม่ค่อยง่วง ฉันดูเอง อีกทั้งยังมีลุงหนานอยู่อีกคน”
“อืม” หานมู่จื่อพยักหน้า จากนั้นจึงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหลับไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า การหายใจของเธอก็สม่ำเสมอ
เสี่ยวเหยียนหันไปมองยังใบหน้าที่หลับใหลของหานมู่จื่อสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอยู่บ้าง
เฮ้อ หวังว่าจะไม่ต้องไปพบเจอกับคนๆ นั้น ไม่อย่างนั้น….เธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร
บางที มู่จื่ออาจเป็นคนที่ไม่รู้ต้องทำอย่างไรมากที่สุดก็เป็นได้
ท้ายที่สุด เขาก็คือคนที่ทำร้ายเธออย่างที่สุด แต่…..เขาก็เป็นคนที่หานมู่จื่อรักมากที่สุดเช่นกัน