บทที่ 373 มาตรการรับมือ
“ดูแล้วทุกคนอยู่ครบพร้อมกันเลยนะคะ” ซูจิ่วมองดูรอบๆ มองเห็นว่าอยู่ครบทุกคน สายตามองไปจนถึงด้านใน เห็นหนุ่มวัยรุ่นที่เย็นชาคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น จากนั้นพูดขึ้นมาว่า: “ฉันมาแนะนำหน่อยนะ ท่านนี้คือคุณ มู่จื่อ เจ้านายใหม่ในอนาคตของพวกคุณ”
ทุกคนไม่ค่อยได้ยินประโยคหลัง ได้ยินแต่ว่าซูจิ่วเรียกชื่อคุณมู่จื่อ
หลายปีมานี้ ซูจิ่วเป็นเลขาที่มีความสามารถของหานชิงมาโดยตลอด ในแวดวงธุรกิจมีชื่อเสียงที่ดังไกลไปทั่ว ดีไซน์เนอร์อย่างพวกเขาต้องรู้จักเธอแน่นอน
แต่ตอนนี้ซูจิ่วเรียกหานมู่จื่อด้วยคำสรรพนามที่เคารพ อีกทั้งในแววตาของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนที่พวกเขาคิด
แววตาของทุกคนมองหานมู่จื่อด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังมีคนเอ่ยปากอย่างไม่ค่อยพอใจ
“อายุยังน้อยก็ได้เป็นเจ้านายแล้วเหรอ? มีความสามารถจริง หรือว่า……เข้าทางประตูหลัง?” คนที่พูดคือเลิงเยาเยา เธอใส่ชุดกระโปรงสีแดง ทาปากสีแดง แก้มแดงๆที่น่าดึงดูด แต่ความสง่างามที่ทำให้คนรู้สึกคือความสวยในแบบที่เยือกเย็น
ได้ยินดังนั้นแล้ว สีหน้าของหานมู่จื่อนิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกโกรธกับคำพูดของเธอ แววตามองไปที่หน้าของเธอ
เสี่ยวเหยียนฟังดูแล้ว ทำไมเหมือนรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ค่อยดี
หลังจากคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะนึกได้ โกรธจนเอ่ยปากตะโกนด่าออกมา: “ประตูหลังอะไร? นี่คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?”
เลิงเยาเยาหรี่ตาลงและมองหน้าเสี่ยวเหยียน: “ฮึ่ม คนๆนี้คือใครเหรอ? มาถึงก็ตะโกนเสียงดังลั่น หรือคุณจะเป็นเจ้านายใหม่ของเรา?”
เสี่ยวเหยียนเห็นสีหน้าของเธอแล้วรู้สึกโมโหจนหน้าสั่น กัดริมฝีปากไว้: “คุณไม่ต้องยุ่งว่าฉันเป็นใคร ฉันไม่ยอมให้พวกคุณว่ามู่จื่อแบบนี้ ทีมงานมืออาชีพแล้วไง?”
เสี่ยวเหยียนเป็นคนที่อารมณ์ร้อน
เรื่องนี้หานมู่จื่อรู้อยู่แล้ว
แต่เธอนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เสี่ยวเหยียนจะอดใจไม่ไหวเพียงเพราะคำๆเดียว เห็นเธอโมโหจนมีควันขึ้นบนหัวแล้ว แต่หญิงที่อยู่ตรงหน้ายังใจเย็นๆอยู่เลย เธอถอนหายใจในใจเบาๆ จากนั้นยกมือขึ้นมาจับแขนเสื้อของเสี่ยวเหยียนและดึงเธอไปอยู่ด้านหลังของตนเอง
“มู่จื่อแกอย่าดึงฉันสิ ให้ฉันคุยกับเธอก่อน อะไรคือประตูหลัง! แกเป็นถึง…….”
“พอแล้ว” หานมู่จื่อพูดเบาๆอีกว่า: “แกอย่าเพิ่งพูด”
เสี่ยวเหยียนโกรธอย่างมาก แต่ก็ฟังคำพูดของหานมู่จื่อ ที่บอกให้ตนเองอย่าเพิ่งพูด เธอจึงปิดปากเงียบและมองหน้าหานมู่จื่อ สุดท้ายก็เดินไปอยู่ข้างๆ ปล่อยให้เธอจัดการด้วยตนเอง
ส่วนซูจิ่ว ตั้งแต่เริ่มแรกที่มาถึง เธอก็ไม่คิดจะช่วยหานมู่จื่ออยู่แล้ว
นี่เป็นเรื่องที่หานชิงสั่งการไว้ให้เธอเป็นกรณีพิเศษ ในเมื่อส่งมอบทีมงานให้เธอบริหารแล้ว ก็ต้องใช้ความสามารถของตนเอง ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเธอ
ส่วนหานชิง ก็ต้องเชื่อมั่นในตัวของน้องสาวอยู่แล้ว
ถ้าหากซูจิ่วเข้าไปยุ่งเรื่องอีก ก็จะทำให้เธอดูไม่ค่อยมีความน่าเชื่อมั่น
หานมู่จื่อเดินหน้าไปสองสามก้าว สายตามองหน้าไปบนตัวของเลิงเยาเยา ถึงแม้บนหน้าเธอจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ความมั่นใจในตัวของเธอแข็งแกร่งมาก แค่ครู่เดียวก็ทำให้ความหยิ่งยโสโอหังของเลิงเยาเยาเกิดความเกรงกลัวในที่สุด
แค่เรื่องนิดเดียวในเวลาอันรวดเร็ว เลิงเยาเยาก็รู้สึกว่าต่อหน้าของหานมู่จื่อแล้ว ภาพลักษณ์ของตนเองตกต่ำลงไปตั้งเยอะ
“คุณ” เลิงเยาเยาถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พูดต่อไปว่า: “คุณคิดจะทำอะไร? หรือฉันพูดถูกจริงๆ จนโมโหแล้วเหรอ?”
ได้ยินดังนั้น หานมู่จื่อก็ยังยิ้มเหมือนเดิมและพูดเบาๆว่า: “คุณกลัวขนาดนี้ทำไม? ฉันไม่กลืนกินคุณสักหน่อย”
ทุกคนได้ยินคำพูดนี้แล้ว กลับรู้สึกกลัวนิดๆในใจ
บนตัวของหานมู่จื่อคนนี้ไม่เหมือนกับตอนเมื่อกี้ที่เห็นเธอเริ่มแรกเลย เธอใส่ชุดแบบนั้น พวกเธอยังคิดว่ารังแกง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เธอปล่อยรัศมีในตัวออกมานั้นจะแข็งแกร่งขนาดนี้
ยังพูดอีกว่า ฉันไม่ได้จะกลืนกินคุณสักหน่อย
ท่าทางเช่นนี้ น่ากลัวกว่ากลืนกินคุณสักอีกนะ?
เห็นพวกเขาไม่พูดจา หานมู่จื่อมองดูรอบๆทั้งสี่ทิศ ริมฝีปากสีชมพูๆก็แง้นขึ้นมานิดๆ
“ก่อนจะมาที่นี่ฉันได้เห็นประวัติของพวกคุณหมดแล้ว ทุกท่านเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีฝีมือ บริษัทนี้เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน ก็ได้ร่วมงานกับพวกท่าน นับเป็นเกียรติของฉันอย่างยิ่ง”
เกียรติ? ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่า ดูไม่ออกว่าเป็นเกียรติมาจากไหน
ส่วนเสี่ยวเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลัง โมโหจนอยากจะเดินหน้าเข้ามา แต่ถูกซูจิ่วที่ยืนอยู่ข้างๆดึงไว้และดึงไปไกลๆอีกหน่อย
“คุณเลขาซูจะทำอะไรคะ? รีบปล่อยฉันสิ มันน่าโมโหจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไร แต่ว่ามู่จื่อกลับบอกว่าได้ร่วมงานกับพวกเขาเป็นเกียรติของเธอ? เธอกลายเป็นคนที่รังแกง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซูจิ่วมองหน้าเสี่ยวเหยียนอย่างเหลืออด: “แล้วคุณล่ะ? กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนที่มาคุณมู่จื่อได้พูดอะไรไว้กับคุณ? เธอมีลางสังหรณ์แล้วว่าชีวิตหลังจากนี้คงจะไม่ได้สบายแล้ว”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนพยักหน้า: “ใช่สิ ฉันเพิ่งจะเข้าใจตอนนี้ สิ่งที่เธอพูดที่แท้ก็เป็นคนพวกนี้นี่เอง แต่เธอกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“เธอพูดแบบนี้ งั้นก็แสดงว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้”
“… …”
“ในเมื่อเธอรู้อยู่ว่าต้องเจอเรื่องพวกนี้ คุณคิดว่าเธอจะไม่มีมาตรการรับมือเหรอ?”
ได้ยินซูจิ่วพูดเช่นนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนเพิ่งรู้ว่าตนเองรีบร้อนใจเกินไป จากนั้นหันกลับไปมองหานมู่จื่ออีกครั้ง
ไม่รู้ว่าหานมู่จื่อเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ใช่คนนั้นที่อ่อนแอและเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นอย่างเมื่อก่อนแล้ว
เธอเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เต็มไปด้วยราศีของผู้นำ เพราะความเป็นอยู่ของชีวิตเมื่อก่อนทำให้เธอเก็บซ่อนเอาไว้ข้างใน
หลังจากนั้น……ค่อยๆส่องแสงประกายออกมา
เสี่ยวเหยียนเพิ่งจะรู้ว่า หานมู่จื่อเก่งกว่าที่ตนเองคิดไว้เยอะมาก
ส่วนเธอ รู้สึกว่าตนเองยิ่งอยู่ยิ่งห่างไกลจากเธอมากขึ้นทุกที
คิดถึงเช่นนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนก้มหน้าลงไปมองปลายเท้าของตนเอง ไม่พูดอะไรและไม่ก้าวไปข้างหน้าอีก
“ทุกท่านต่างเป็นคนมีฝีมือ ฉันเป็นคนที่เห็นความสำคัญของคนเก่ง แต่ฉันก็มีนิสัยอีกอย่างหนึ่งคือ ฉันไม่ชอบบังคับจิตใจคนอื่น ถึงแม้พวกคุณจะเป็นผู้ร่วมงานที่เก่งมาก แต่ถ้ามีคนไหนที่ไม่อยากจะอยู่ต่อที่บริษัทนี้อีก สามารถออกไปตอนนี้ได้เลย”
ได้ยินแล้ว คนพวกนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เซียวยียีรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที แล้วก็ติเตียนเธอ: “คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าไงคะ? นี่คุณกำลังคิดอยากจะไล่พวกเราออกเหรอคะ?”
“ไม่ใช่” หานมู่จื่อส่ายหน้าเบาๆ: “เพราะที่บริษัทของฉันอยากไปก็ไปอยากมาก็มาได้ มีความอิสระ ถ้าพวกคุณอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะกับมืออาชีพอย่างพวกคุณ สามารถออกไปได้เลย เงินเดือนของเดือนนี้ฉันก็จะจ่ายให้พวกคุณเหมือนเดิม”
“คุณ นี่คุณกำลังดูถูกคนนี่!!”
“ฉันหวังว่าทุกท่านจะเข้าใจหลักการหนึ่ง ถึงแม้พวกคุณ เป็นทีมงานมืออาชีพที่นายหานหามา แต่หลังจากนี้เงินเดือนที่จ่ายให้พวกคุณเป็นของฉัน นับจากวันนี้ไปฉันก็คือเจ้านายของพวกคุณ คนที่สามารถยอมรับได้ก็อยู่ต่อ คนที่ไม่สามารถยอมรับได้ก็ออกไปได้เลยค่ะ ฉันก็ยังยืนยันคำเดิม ว่าเงินเดือนของเดือนนี้ฉันจะจ่ายให้ตามปกติ”
น้ำเสียงของหานมู่จื่อพูดได้อย่างมีน้ำหนัก สีหน้าบนใบหน้าก็นิ่ง มีความแน่วแน่ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะไปจากที่นี่จริงๆ
เธอไม่สนใจทีมงานของพวกเขาเลยสักนิด
ได้รับคำดูถูกเป็นครั้งแรก ทุกคนต่างรู้สึกโมโหมาก
จางยู่พูดด้วยความโมโห: “มีเจ้านายอย่างคุณแบบนี้ที่ไหนกัน คุณนึกว่าคุณเป็นใคร ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย!”