บทที่39 ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ
เสียงที่แหลมขึ้นอย่างฉับพลันทำให้เสิ่นเฉียวตกใจ เธอจับผ้างขนหนูที่ตัวเธอ จากนั้นจึงเดินไปหาเย่โม่เซิน
เธอเดินและหยุดอยู่ค่อนข้างไกลจากจุดที่เย่โม่เซินอยู่
เธอกัดริมฝีปากล่าง
“มีอะไรรึไง?”
“พยุงผมไปที่เตียง” เย่โม่เซินพูดอย่างเย็นชา สายตาไม่ไหวติง
เสิ่นเฉียวทอดถอนใจ ที่แท้เขาก็แค่ให้เธอพยุงเขาไปที่เตียงแค่นั้น ก็ยังดี เพียงแต่ว่า ตอนนี้บนตัวเธอมีแค่ผ้าเช็ดตัว เดี๋ยวหาไม่ระวังมันจะร่วงได้ ดังนั้นเสิ่นเฉียวจึงได้เอ่ยปากขอ: “ให้ฉันเปลี่ยนเสื้อก่อนแล้วมาช่วยคุณได้ไหมคะ? เมื่อกี้…ฉันลืมหยิบเสื้อเข้าไปด้วย”
เย่โม่เซินไม่พูดจาได้แต่จ้องมองเธอ
เสิ่นเฉียวจับชายผ้าเช็ดตัวแน่น กัดริมฝีปากแล้วพูด: “แค่แป๊บเดียว แป๊บเดียวก็เสร็จ”
เขายังคงไม่พูดอะไร เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าจะพันผ้าเช็ดตัวแล้วช่วยเขาไม่ได้ ดังนั้นเขาซึ่งไม่พูดอะไร เธอจึงก้าวขาช้า ๆ เมื่อเห็นเย่โม่เซินไม่มีกิริยาใด ๆ เธอจึงรีบไปหยิบเสื้อผ้าที่ตอนแรกเตรียมไว้จะเปลี่ยนแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป
เข้าไปไม่นานแล้วจึงรีบพุ่งตัวออกมา กระโปรงยังคงพาดอยู่บนตัวเธออย่างไม่เรียบร้อย ตอนออกมายังทำให้เห็นไหล่ขาวดังหิมะ เสิ่นเฉียวพลางดึงพลางเดินไปทางเขา เมื่ออยู่ตรงหน้า เย่โม่เซิน เธอก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยพอดี
ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงนาที
ถือว่าเร็วมากทีเดียว
เพียงแค่ผมกระเซอะกระเซิง
เย่โม่เซินหรี่ตาลงมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เธอสวมชุดนอนสีฟ้าและเดินเท้าเปล่า ชุดนอนเป็นชุดธรรมดาอีกทั้งดูไม่ใหม่แล้ว เมื่อลุกขึ้นจึงเห็นท้องขาว ๆ เมื่อเทียบกับผิวขาวใสของเธอสามารถพูดได้ว่ามันไม่เข้ากันเลย
พูดได้ว่าชุดนี้ทำให้เธอหมดเสน่ห์
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว มองดูเธออย่างไม่สบอารมณ์
เสิ่นเฉียว สังเกตสายตาของเขาได้ ก้มลงไปมองชุดนอน พอเข้าใจได้ว่าเย่โม่เซินมองอะไร เธอรู้สึกลำบากใจไม่น้อย และรู้สึกร้อนที่หน้า กัดริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดอย่างยากลำบาก
“ฉันเสร็จแล้วค่ะ ฉันช่วยพยุงคุณไปพักนะคะ”
พูดแล้วเสิ่นเฉียวก้าวไปข้างหน้าเข็นเย่โม่เซินไปที่เตียง
หลังจากเย่โม่เซินขึ้นเตียงแล้ว สายตายังคงมองเรือนร่างเธอไม่วางตา ริมฝีปากบางขยับ: “เปิดลิ้นชักหัวเตียง”
“อ๊ะ” เสิ่นเฉียวงุนงงในทีแรก จากนั้นจึงรีบพยักหน้า จากนั้นจึงหันตัวไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงและถาม: “คุณชายเย่จะหาอะไรเหรอคะ?”
เป็นเพราะเรียกแบบนี้จนชินเวลาทำงาน ดังนั้นเธอมักจะเรียกเย่โม่เซินว่าคุณชายเย่
ในลิ้นชักเป็นระเบียบเรียบร้อย ในนั้นมีหนังสือหลายเล่มและการ์ดจำนวนหนึ่ง และยังมีนาฬิกาข้อมือ
“หนังสือเล่มที่สองเปิดไปหน้าสองร้อยห้า แล้วหยิบการ์ดมา”
“อ่อ”
เสิ่นเฉียวไม่สงสัยอะไร เขาพูดก็ทำตาม หยิบหนังสือเล่มที่สองและพลิกเปิดไปที่หน้าที่สองร้อยห้า ในระหว่างที่เปิดเสิ่นเฉียวก็รู้สึกประหลาดใจว่าเขาจำได้แม่นถึงขนาดนี้
จากจุดนี้สามารถเห็นได้ว่าเข้าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขนาดไหน
“เจอแล้วค่ะ” หลังจากเสิ่นเฉียวพบการ์ดนั้นแล้วจึงนำไปให้เย่โม่เซิน
เย่โม่เซินกลับไม่รับไว้ ดวงตาดำขลับยังจ้องมาที่เธอ
“คุณชายเย่?”
“ให้เธอ”
เมื่อได้ยิน เสิ่นเฉียวแปลกใจเล็กน้อย มองดูการ์ดใบนั้น
“ให้ฉัน?”
เดิมทีเธอคิดว่าเธอกำลังมองหานามบัตรหรืออะไรแบบนั้น คิดไม่ถึงว่ามันกลับเป็นบัตรธนาคาร
แต่ว่าบัตรธนาคารจะเอาให้เธอทำไม?
“คุณชายเย่?” เสิ่นเฉียวไม่เข้าใจ เธอจับการ์ดในมือแน่นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
เย่โม่เซินแสยะยิ้มและพูดจาอย่างดูถูก: “เธออยู่ในฐานะคุณนายน้อยของตระกูลเย่ เธอควรจะแต่งตัวให้เหมาะสมหน่อย ในบัตรมีเงินอยู่ ที่ฉันพูดเธอเข้าใจรึเปล่า?”
เมื่อพูดจบ เสิ่นเฉียวใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีขาดในทันที เธอกัดริมฝีปากล่าง
“คุณกำลังดูถูกว่าฉันแต่งตัวไม่ดี?”
“ทำไม? แล้วเธอรู้สึกว่าเธอแต่งตัวดีเหรอ?” เย่โม่เซินมองดูชุดนอนที่ถูกซักจนขาวซีดไปหมดแล้ว ด้วยน้ำเสียงที่ทิ่มแทงที่สุด
เสิ่นเฉียวรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง เธอกัดริมฝีปากจนเลือดแทบไหล เธอกำบัตรธนาคารแน่นขึ้นอีก “ไม่ต้องหรอกก็ได้มั้งคะ? ฉันทำงานอยู่ในบริษัทแล้ว ขอเพียงต่อไปคุณจ่ายเงินเดือนตรงเวลา ฉันก็มีเงินไปซื้อเสื้อผ้าเอง คงไม่ต้องใช้เงินคุณหรอก”
พูดจบ เสิ่นเฉียววางการ์ดไว้บนลิ้นชักหัวนอน
“เอาไปเถอะ” เย่โม่เซินจ้องเธอไม่วางตา: “ช่วงนี้ เธอไม่มีเงิน ไม่ใช่เหรอ?”
เสิ่นเฉียวอดไม่ได้จึงระเบิดออกมา: “ใช่! ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน แล้วมันจะทำไมเหรอ? เสื้อผ้าที่ฉันใช่ก็ไม่ได้ขโมยหรือแย่งใครมา เก่าแล้วไง? เพียงเพราะแบบนี้คุณต้องดูถูกฉันไม่หยุดด้วยเหรอ?”
“เหอะ แค่เรื่องนี้ก็พอแล้ว”
“เย่โม่เซินคุณอย่าทำตัวมากเกินไปนะ!”
เสิ่นเฉียวกำหมัดแน่น ดวงตาสวยเต็มไปด้วยโทสะ
เธอโกรธ สายน้ำซึ่งนิ่งเงียบเหมือนความตายเริ่มเคลื่อนไหวและพลุ่งพล่าน มันน่าดูชมทีเดียว
เย่โม่เซินไพร่มือไว้ข้างหลัง มองดูเธออย่างพึงพอใจ
“เกินไปแล้วจะทำไม? ที่ฉันพูดมันไม่จริงหรือไง? ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คุณนายน้อยที่แท้จริง แต่เธอก็ยังเป็นผู้ช่วยของฉัน แต่งตัวแบบนี้ คนที่ต้องขายหน้าคือบริษัทตระกูลเย่”
“ไม่ชอบที่ฉันทำขายหน้า งั้นคุณก็ไปบอกนายท่าน บอกให้ยกเลิกไม่ต้องให้ฉันเป็นผู้ช่วยคุณสิ”
เสิ่นเฉียวริมฝีปากซีดเผือด แต่ยังคงเผชิญหน้ากับเย่โม่เซินอย่างดื้อรั้น
“เชอะ” เย่โม่เซินยิ้มเยาะเหยียดหยามออกมา: “แม้แต่งานแต่งงานฉันยังไม่ยกเลิก แล้วเธอคิดว่าฉันยกเลิกสิ่งนี้ได้?”
เมื่อได้ยิน เสิ่นเฉียวนิ่งไป
ใช่สิ เขายอมรับแม้กระทั่งผู้หญิงที่นายท่านยัดเยียดให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้เธอเป็นผู้ช่วย หรือว่าเขาจะรู้อะไร?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสิ่นเฉียว จ้องเขาและถาม: “ไม่ว่านายท่านจะให้คุณทำอะไร คุณก็จะทำใช่รึเปล่า?”
“ทำไม? คิดจะล้วงความลับจากผมแทนนายท่าน?”
เมื่อได้ฟัง เสิ่นเฉียวสีหน้าเปลี่ยนและส่ายศีรษะ: “เปล่า”
“รับการ์ดไว้ แล้วไปซะ” เย่โม่เซินสีหน้าเย็นชา เห็นชัดว่าไม่อยากจะคุยกับเธอแล้ว
หัวข้อสนทนากลับมาที่เดิม เสิ่นเฉียวโมโหและพูด: “ฉันไม่ได้อยากได้เงินของคุณ”
พูดจบ เสิ่นเฉียวเดินกลับไปที่เตียงของตัวเอง
เย่โม่เซินมองดูภาพหลังที่เด็ดเดี่ยวของเธอ แล้วดึงริมฝีปาก “กลัวว่าข้างในเงินจะน้อยเกินไป ก็เลยไม่อยากได้ใช่รึเปล่า? งั้นฉันจะบอกเธอให้ ข้างในนั้นมีเงินอยู่สิบล้าน พอให้เธอใช้อยู่แล้ว”
เสิ่นเฉียวหยุดชะงักอยู่กับที่
เย่โม่เซินหรี่ตาลง ได้ยินสิบล้านถึงกับใจเต้นเลยสินะ?
เสิ่นเฉียว หันหน้ากลับมากัดฟันแล้วพูด: “แค่สิบล้านเท่านั้น จะพอให้ฉันใช้ได้ยังไง? เงินของคุณมันน้อยแค่นี้ ไม่อยู่ในสายตาฉันด้วยซ้ำ!”
เย่โม่เซินเลิกคิ้ว: “อ่อ เหรอ?”
“ดังนั้น ต่อไปอย่าเอาการ์ดแบบนี้ยัดเยียดให้ฉัน ฉันไม่ต้องการ!” เสิ่นเฉียวพูดจบแล้ว ครั้งนี้เธอไม่สนใจเขาแล้วจริง ๆ และกลับไปที่เตียงหลังเล็กของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจจริง ๆ
เธอโกรธจนจับเสื้อตัวเองแน่น ในมือมีสัมผัสที่หยาบกร้าน เสิ่นเฉียวก้มหน้า ก้มลงดูเสื้อผ้าของตัวเองแล้วรู้สึกอึดอัดใจเป็นยิ่งนัก
ตระกูลเย่เป็นตระกูลใหญ่ ที่นี่ถือเป็นชนชั้นสูง บรรดาคนชนชั้นล่างสำหรับพวกเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องตลกโดยสิ้นเชิง