บทที่392 สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เย่โม่เซินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างที่มีกลิ่นอายทรงพลังก้าวเข้าไปใกล้อีก
หานมู่จื่อไม่สะทกสะท้าน ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ด้วยแววตาและสีหน้าที่สงบนิ่ง
“เป็นอะไรเหรอ?” หลินชิงชิงรู้สึกว่ามีแบบอย่างผิดปกติ จึงถาม
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็มองไปที่หลินชิงชิงแล้วยิ้มออกมา
“คุณหลิน ไว้พวกเราค่อยติดต่อกันทีหลัง ไม่รบกวนพวกคุณแล้วนะคะ”
หลังจากพูดจบ หานมู่จื่อก็พยักหน้าแสดงการกล่าวลาไปทางเย่โม่เซินอีกครั้ง จากนั้นก็เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของโต๊ะเพื่อที่จะออกไป
หลินชิงชิงเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย: “ไม่อย่างนั้น…คุณอยู่ดื่มเครื่องดื่มก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
“นี่…”
“คุณมาที่นี่เป็นพิเศษ ถ้าไปตอนนี้ฉันคงรู้สึกผิดเกินไปแล้ว อีกอย่าง…เขาก็กลับมาแล้ว คุณนั่งต่อสักพักก็คงไม่มีปัญหา”
หานมู่จื่อบีบกระเป๋าในมือแน่นอยู่สองสามนาที สักพักก็คลายออก เธอสงบนิ่งยิ้มแล้วพูดว่า: “ได้ค่ะ อย่างนั้นฉันคงต้องรบกวนแล้ว”
หานมู่จื่อสั่งน้ำผลไม้มาหนึ่งแก้ว
ร้านอาหารรีบนำน้ำผลไม้มาให้เธออย่างรวดเร็ว หานมู่จื่อรู้ว่าตัวเองเพียงแค่นั่งพอเป็นพิธี ดังนั้นจึงดื่มไปแค่สองสามอึก
เย่โม่เซินที่เตรียมจะกลับอยู่ก่อนแล้วตอนนี้ก็ได้อยู่ต่อ แล้วนั่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเย็นชา
สีหน้าของเย่โม่เซินนั่นดูไม่ได้ หลินชิงชิงไม่กล้าพูดอะไรมาก ต่างคนต่างคิดอยู่ในใจ
เพียงแต่มีสายตาของใครบางคนที่จ้องมองเธออย่างดุดัน ถึงแม้ว่าสายตาของเขาจะเย็นชา แต่สายตานั้นกลับจ้องมองมาที่ใบหน้าของเธอด้วยความร้อนแรงจนแทบจะแผดเผา
จนเกือบจะทะลุใบหน้าของเธอออกมา
เวลาได้ผ่านไปเรื่อย ๆ สองสามนาทีหลังจากนั้น หานมู่จื่อก็ได้ลุกขึ้น
“ขอบคุณที่ต้อนรับเป็นอย่างดีนะคะ เพียงแต่ฉันยังมีงานที่ต้องทำ คงไม่รบกวนทั้งสองท่านแล้ว”
พอจบ เธอก็ลุกขึ้นยิ้มเล็กน้อย: “ให้ฉันจัดการอาหารมื้อนี้เถอะค่ะ”
จากนั้นเธอก็ไม่สนว่าคนทั้งสองจะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไร ก็หันหลังเดินไปที่โต๊ะชำระเงินเพื่อจ่ายเงิน
ในตอนที่หานมู่จื่อเตรียมจะยื่นบัตรส่งให้พนักงาน แต่กลับมีบางคนที่ไวกว่าเธอ
“จ่ายบิลนี้”
น้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
หานมู่จื่อคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก เธอไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร
“คนอย่างฉันเย่โม่เซินไม่คุ้นชินให้ผู้หญิงเลี้ยง”
หานมู่จื่อ: “……”
เธอเงียบไปชั่วขณะ แล้วเก็บบัตรธนาคารกลับเข้าไปในกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ แล้วหันไปมอง ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างคนแปลกหน้าปรากฏอยู่: “อย่างนั้น ขอบคุณคุณเย่มากนะคะ”
หลินชิงชิงที่เดินมาเห็นฉากนี้เข้า ก็แอบยินดีอยู่ในใจ
ผู้ชายที่อยู่ในสายตาเธอย่อมแตกต่าง ผู้ชายควรที่จะเป็นแบบนี้เหมือนกับเย่โม่เซิน ท่าทางสง่างามมีฐานะอย่างนั้น
พอเดินไปถึงประตู หลินชิงชิงก็เอ่ยปากทันที: “มู่จื่อ ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราไปส่งเธอที่บริษัทเถอะ อย่างไรเสียก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็นิ่งไปสักพัก มุมปากอดที่จะกระตุกไม่ได้
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหลิน ฉันเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว วันนี้ขอบคุณที่ต้อนรับมากนะคะ”
หานมู่จื่อก็ไม่คิดว่าจะต้องให้ใครมาส่งเธอเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว พอเห็นหลินชิงชิงไม่พูดอะไรอีก เธอจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วจากไป โดยไม่สนใจสายตาของอีกฝ่าย
หลินชิงชิงมองเงาที่จากไปของเธอ จากนั้นแอบมองเย่โม่เซินที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ไกล
“ฉันบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะไปส่งเธอ?”
ปรากกว่า น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ก็ดังขึ้นมา
ถึงแม้ว่าหลินชิงชิงจะรู้อยู่แล้วว่าเย่โม่เซินไม่มีทางไปส่งเธอ แต่เขาเอ่ยปากออกมาทันทีแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียหน้า โชคดีที่หานมู่จื่อกลับไปแล้ว
พอคิดแบบนี้ หลินชิงชิงก็เงยหน้าแล้วยิ้มให้เย่โม่เซิน “ฉันรู้ว่าคุณคงไม่ไปส่งฉัน วันนี้ลำบากคุณแล้ว เดินทางปลอดภัยค่ะ”
พอพูดจบ หลินชิงชิงก็ไม่ได้ตามตื๊อเขาอีกแล้วเตรียมที่จะหมุนตัวจากไป
แต่เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน: “ใช่แล้วคุณเย่ ขอเพิ่มเพื่อนในWechatได้ไหมคะ?”
หึ เป็นผู้หญิงที่ได้คืบจะเอาศอกจริง ๆ
ดวงตาสีดำเข้มของเย่โม่เซินแสดงความเหลืออด ในตอนที่กำลังจะบอกปฏิเสธนั้น
ทันใดนั้นกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหรี่ตาจ้องไปทางที่หานมู่จื่อหายไป
“เมื่อครู่คุณบอกว่า…เธอเป็นนักออกแบบ?”
หลินชิงชิงไม่ได้ตอบสนองในตอนแรก เพียงแค่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย จากนั้นไม่นานเธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงยิ้มหน้าบานแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะคุณเย่ เธอเป็นนักออกแบบ ครั้งนี้ฉันไปที่บริษัทของเธอเพื่อมอบหมายให้เธอช่วยฉัน ออกแบบชุด ถ้าคุณเย่ต้องออกแบบล่ะก็ สามารถไปหาเธอได้”
ในตอนนี้ หลินชิงชิงเห็นว่าเย่โม่เซินสนใจฐานะนักออกแบบของเธอ จึงคาดเดาอยู่ในใจว่าเย่โม่เซินกำลังอยากที่จะให้หานมู่จื่อออกแบบชุดให้ ดังนั้นจึงไม่ปิดบังตัวตนของหานมู่จื่อแล้วแนะนำออกไปให้อย่างดี
เธอคิดแค่ว่า ถ้าหากสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าใกล้ชิดเย่โม่เซินอีกนิดล่ะก็ ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้ว
นักออกแบบเหรอ?
ดวงตาของเย่โม่เซินมืดครึ้มนานเท่าไรแล้ว
ไม่คาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นนักออกแบบ สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
หลินชิงชิงกัดริมฝีปากไว้ด้วยความดีใจ: “คุณเย่อยากออกแบบชุดเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราเพิ่มเพื่อนใน Wechatกัน ฉันจะส่งนามบัตรเธอให้คุณ?”
เมื่อถามคำถามนี้ หัวใจของหลินชิงชิงก็เต้นเร็ว นี่เป็นก้าวสำคัญที่สุดในเส้นทางสู่เทพบุตรของเธอ!
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เย่โม่เซินจะต้องออกไปก่อนอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเพิ่มเพื่อนในWechatเขาไม่แม้แต่จะสนใจเธอด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“ส่งนามบัตรให้ผม”
หลังจากที่เย่โม่เซินพูดประโยคนี้จบเขาก็หายตัวไปต่อหน้า หลินชิงชิง
หลินชิงชิงพยักหน้าอย่างดีใจแล้วโบกมือให้เขา: “ฉันจะส่งแน่นอนค่ะคุณเย่! คุณเย่ขับรถดี ๆ นะคะ!”
สายตาของเธอเฝ้าติดตามร่างสูงใหญ่ที่สนเย็นชานั้น จนกระทั่งเขาหายไปจากมุมถนน หลินชิงชิงกลับมามองลงไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ ดีใจแล้วกอดมันไว้ในอ้อมแขนของเธอราวกับสมบัติมีค่า
ดีจังเลย เธอเข้าใกล้เทพบุตรอีกก้าวแล้ว
คุณป้าส้งพูดไว้ไม่ผิด เย่โม่เซินเป็นคนหน้าตาเย็นชาแต่จิตใจอบอุ่น
เธอแทบจะจินตนาการถึงตอนที่ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในอนาคตไม่ไหวแล้ว
หลินชิงชิงกอดโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วเดินออกไปอย่างพึงพอใจ
หลังจากหานมู่จื่อกลับมาที่บริษัทก็เข้าไปในห้องทำงาน จากนั้นก็นั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะ
เสี่ยวเหยียนที่เห็นเธอกลับมาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ไหนบอกว่าจะไปพบลูกค้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ? แต่เธอก็ไม่ได้เข้าไปถาม อย่างไรเสียหานมู่จื่อเธอก็จัดการเรื่องของตนเองได้
แต่ในตอนที่เสี่ยวเหยียนลุกขึ้นไปเติมกาแฟให้ตัวเองนั้น ไม่คาดคิดว่าจะเห็นหานมู่จื่อยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมอยู่อย่างนั้น เธอจึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมาแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
เสี่ยวเหยียนหรี่ตา ชงกาแฟแล้วนำเข้าไปส่ง
ตุบ!
เสียงสั่นของถ้วยกาแฟที่วางลงบนโต๊ะทำให้หานมู่จื่อได้สติกลับมา เธอลืมตามองเสี่ยวเหยียนที่กำลังจ้องเธอด้วยความประหลาดใจอยู่ตรงหน้าเธอพอดี
พอเห็นเธอเงยหน้าขึ้น เสี่ยวเหยียนก็กอดอก: “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็นิ่งไปสักพัก
สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหรอ?
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดที่จะยิ้มให้กลับตัวเองไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรมา ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้เธอก็คิดว่าตนเองจิตใจสงบนิ่งดั่งสายน้ำแล้ว แต่พอมาวันนี้กลับพบว่า…
สิ่งเหล่านี้ ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าคุณอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เลย