บทที่ 394 ได้รับบาดเจ็บแล้ว
หลังจากที่ถึงสถานที่แห่งนั้น ในตอนที่หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนลงจากรถคนขับรถก็อดถามไม่ได้ว่า: “ต้องเข้าไปจริง ๆ เหรอ? พวกคุณไม่กลัวเหรอ? อย่าเข้าไปเลยดีไหม ผมส่งคุณกลับฟรีได้นะ?”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็มองคนขับรถอย่างแสดงความขอบคุณแวบหนึ่ง: “ขอบคุณค่ะ แต่ว่าพวกเรามีเรื่องด่วนนิดหน่อย ต้องตามหาคนจริง ๆ ดังนั้นเลยไม่เข้าไปไม่ได้”
“อย่างนั้นก็ตามใจเถอะ พวกคุณจำไว้ว่าต้องระวังตัวเองก็พอ”
“ขอบคุณมากค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะ!”เสี่ยวเหยียนโบกมือให้แล้วบอกคนขับรถเสียงดัง
หลังจากนั้นเสี่ยงเหยียนก็คิดที่จะเดินเข้าไปข้างใน แต่กลับถูกหานมู่จื่อร้องห้ามไว้
“ทำไมเหรอ?”
หานมู่จื่อเริ่มถอดเสื้อคลุมอยู่ริมถนน
เสี่ยวเหยียนมองอย่างตะลึง: “มู่ มู่จื่อ เธอจะทำอะไร? ”
หานมู่จื่อถอดเสื้อคลุมออกจากร่าง แล้วสื่อให้เสี่ยวเหยียนถอดด้วยเหมือนกัน หลังจากนั้นหานมู่จื่อก็ขยำเสื้อผ้าบนร่างเบาๆ
“พวกเรา…ทำแบบนี้ทำไมเหรอ?”
“ที่นี่เป็นพื้นที่รื้อถอน เธอคิดว่าถ้าพวกเรายังสวมเสื้อผ้าแบบนั้นอยู่ จะถูกพวกเธอทำอะไร?” หานมู่จื่อพูดไปด้วยแล้วมองกระเป๋าเสี่ยวเหยียนไปด้วย: “เธอพกน้ำยาล้างเครื่องสำอางไหม?”
เสี่ยวเหยียนนิ่งไปสักพักแล้วพยักหน้า: “พก พกอยู่แล้ว”
“ส่งให้ฉัน”
เสี่ยวเหยียนนำน้ำยาล้างเครื่องสำอางส่งให้เธอ หานมู่จื่อหยิบสำลีขึ้นมาแล้วเช็ดลงบนใบหน้าของเธอโดยตรง ฉากนี้ทำให้เสี่ยวเหยียนมุมปากกระตุก: “เธอนี่ลงทุนเยอะจริงๆ เลย ไม่ทันไรก็ลงมือแล้ว”
หานมู่จื่อแต่งหน้าเบาบาง เลยทำให้เช็ดออกไม่ยาก หลังจากที่ทั้งคู่เช็ดเครื่องสำอางแล้วใบหน้าก็ไร้สีสัน
“แบบนี้ก็คงจะได้แล้ว ไปเถอะ”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปด้วยกัน
สถานที่รื้อถอนที่ปล่อยมานานขนาดนี้ คนที่นี่ก็ต้องรังแกไม่ง่ายขนาดนั้นแน่ดังนั้นตอนเข้าไปพวกเธอจึงต้องระวังตัวเล็กน้อย
เพียงแต่สถานที่แห่งนี้มีข้อเสียข้อหนึ่งก็คือ หาลำบาก
หลังจากที่หานมู่จื่อและเสี่ยวเหยียนเดินเข้าไป ไม่ว่าเธอกับเสี่ยวเหยียนจะเช็ดเครื่องสำอางแล้ว แต่ออร่าบนร่างก็ดูเหมือนจะไม่เข้ากับอาคารใหญ่หลังนี้อย่างเห็นได้ชัด เลยทำให้ดึงดูดสายตาอย่างมาก
“ดูสายตาน่ากลัวที่พวกเขาใช้มองสิ…พวกเราจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เสี่ยวเหยียนถูกสายตาเหล่านั้นจับจ้องจนขนลุก เลยดึงชายเสื้อของหานมู่จื่ออย่างไม่รู้ตัว
“ก็แค่มองนั้น ไม่กินเธอหรอก อย่ากลัว”
ถ้าเทียบกับเสี่ยวเหยียนแล้ว หานมู่จื่อสงบกว่ามาก เธอพลิกดูข้อมูล “ในนี้ไม่ได้เขียนบ้านเลขที่ของเขาอย่างละเอียด ดูเหมือนพวกเราจะต้องถามแล้วล่ะว่าเขาพักอยู่ที่ไหน”
พอได้ยิน เสี่ยวเหยียนก็เบิกตาโตอย่างตกใจกลัวทันที
“ฉัน ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? เธอให้พวกเราไปถามคนพวกนั้น สายตานั้นกินคนไม่ได้ แต่ฉันดันรู้สึกว่าถ้าพวกเราเดินผ่านไปจะต้องถูกกินแน่ ๆ ”
ในขณะที่เสี่ยวเหยียนยังคงตัวสั่นอยู่ หานมู่จื่อก็ได้ก้าวนำเข้าไปหาชายชราหลังค่อมที่อยู่ข้าง ๆ เธอจึงได้สติกลับมา แล้วรีบก้าวตามหานมู่จื่อไป
“สวัสดีค่ะ” หานมู่จื่อเปิดเผยแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนถามคนชราคนนั้นเบา ๆ : “ขอถามหน่อยคุณรู้จักหลินเจิงไหม?”
ชายชรามองเธอด้วยความตื่นตัว หลังจากได้ยินชื่อของหลินเจิงเขาก็รีบถอยหลังแล้วส่ายหัว “ไม่รู้จักไม่รู้จัก อย่ามาถามฉัน”
หานมู่จื่อ: “……”
เสี่ยวเหยียนกระซิบข้างหูหานมู่จื่อเบา ๆ: “เห็นชัด ๆ ว่ารู้จัก”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็ยังคงรักษาน้ำเสียงแล้วยิ้ม: “คุณยายคุณอย่าเข้าใจผิดนะคะ พวกเราไม่ได้มาร้าย พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานของหลินเจิง ได้ยินว่าที่บ้านเข้ามาเรื่อง ทุกคนเป็นห่วงเขามาก ดังนั้นเลยไหว้วานให้ฉันกับเพื่อนมาดูว่าเขาเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”
พอได้ยิน หานมู่จื่ออ้างว่าตนเป็นเพื่อนร่วมงานของหลินเจิงสายตาที่ตื่นตัวของหญิงชราก็ลดลงไปไม่น้อย เธอมองหานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนอย่างพิจารณา พอเห็นทั้งคู่ดูบริสุทธิ์ไม่มีพิษมีภัย คงไม่ใช่คนที่สามารถทำร้ายคนได้หรอกนะ
พอคิดแบบนี้ หญิงชราก็เอ่ยปาก
“พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมงานของหลินเจิงจริง ๆ ใช่ไหม?”
“อืม ใช่ค่ะ ดังนั้นพวกเราจึงเป็นห่วงเขามาก”
“อย่างนั้น…ฉันจะพาพวกเธอไปหาเขา”
“ขอบคุณค่ะ” หานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขอบคุณ
ในเวลานี้จู่ๆ เด็กชายวิ่งออกมาจากบ้าน “คุณย่า คุณอย่าถูกพวกเธอหลอกนะ พวกเธอไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของพี่ หลินเจิงพวกเธอต้องการทำร้ายพี่หลินเจิง”
พอหญิงชราได้ยิน ก็หน้าเปลี่ยนสี: “เป็นความจริงเหรอ?”
หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน
เด็กชายคนนั้นเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าหญิงชราทันทีแล้วตะโกนเสียงดัง: “ใครก็ได้ช่วยที คนพวกนี้มาคิดบัญชีกับพี่หลินเจิงอีกแล้ว! พวกเธอยังจะรังแกคุณยายอีกด้วย!”
น้ำเสียงของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความโกรธ จนดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง
สาเหตุที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่ได้โดยไม่ถูกรื้อถอนจนถึงตอนนี้ ก็เพราะพลังความสามัคคี เสียงคำรามของเด็กชาย ทำให้ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงคำรามแล้วรีบเข้ามา
“พวกเธอจะทำอะไร? คนหนุ่มสองคนจะรังแกคนแก่คนเดียวหน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม?”
“ตามหาหลินเจิง? เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พวกเธอรีบไปเถอะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจแล้ว!”
“ดูแล้วเป็นคน แต่ทำไมมาทำเรื่องแทนคนพวกนั้นล่ะ? ชอบเป็นหมาอย่างนี้ใช่ไหม?”
หานมู่จื่อมองคนเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่คิดไม่ถึงว่าคำพูดกลับ…ทิ่มแทงขนาดนี้
สีหน้าของเธอดูไม่ได้ขึ้นมา แต่กลับไม่เอ่ยปากอธิบาย
กลับเป็นเสี่ยวเหยียนที่ทนฟังคำพูดของพวกเธอได้แล้ว จึงตะโกนเถียงเสียงดัง: “ที่พวกคุณพูดหมายความว่าอย่างไร? พวกเราไม่ใช่คนเลว แล้วก็ไม่ได้รังแกหญิงชราคนนั้นด้วย”
“เธอพูดไร้สาระ!” เด็กชายพุ่งเข้ามาข้างหน้าทันที แล้วตะโกนเสียงดัง: “ฉันเพิ่งจะได้ยินเธอขู่คุณย่า!”
เขาพูดอย่างโมโห ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปผลักหานมู่จื่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างแรง
“ว๊าย! มู่จื่อ!”
“อา”
ใครบางคนในฝูงชนร้องอย่างตกใจ
หานมู่จื่อไม่คาดคิดมาก่อนว่าเด็กชายจะมีพละกำลังมากขนาดนี้และก็ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ เขาจะยื่นมือออกมาผลักตนเอง ดังนั้นเมื่อเธอที่สวมรองเท้าส้นสูงถูกผลักแบบนี้ จึงทำให้ทรงตัวไม่ได้แล้วล้มลงไปข้างหลัง กระแทกลงไปกับพื้น
เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่นี่ ซึ่งมีเศษไม้และแก้วแตกอยู่บริเวณรอบข้าง มือของเธอกดลงบนเศษไม้และแก้วรอบข้างเธอแล้ว เลยทำให้เลือดออก
“เลือดออกแล้ว!” เสี่ยวเหยี่ยนที่เห็นเหตุการณ์ เบิกตาโตแล้วรีบก้มลงไปช่วยพยุงหานมู่จื่อขึ้นมา “มู่จื่อเธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เมื่อคนรอบข้างเห็นฉากนี้ ต่างก็มองหน้ากัน
เสี่ยวเหยียนกัดริมฝีปากด้วยความโกรธแล้วมองทุกคน: “พวกคุณทำเกินไปแล้ว ฉันรู้ว่าที่นี่ของพวกคุณเป็นพื้นที่รื้อถอน แต่พวกคุณทำร้ายคนโดยไม่สนผิดถูกแบบนี้มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว! มู่จื่อฉันช่วยพยุงเธอขึ้นมา พวกเราไปโรงพยาบาลกัน”
หานมู่จื่อที่ถูกเธอช่วยพยุงก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝ่ามือของเธอเจ็บมาก แม้แต่สะโพกของเธอชาไปหมด
“ฉันไม่เป็นไร” เธอกัดริมฝีปากเพื่ออดกลั้นต่อความเจ็บนี้ แล้วมองทุกคน: “พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานของหลินเจิงจริง ๆ ไม่ได้มีใจที่จะทำร้ายใคร ถ้าทุกท่านไม่เชื่อล่ะก็ อย่างนั้นพวกเราจะออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
“เดี๋ยวก่อน พวกเธอมาหาหลินเจิงใช่ไหม ให้ฉันพาไปเถอะ” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวก้าวออกมา