บทที่ 395 ไปให้พ้น
“ซีซี? นี่เธอจะทำอะไร?” มีคนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ลุงเฉิน พวกเธอได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ยังไม่โมโหใส่พวกเรา เห็นชัด ๆ ว่าไม่ใช่พวกก่อนหน้านี้ พวกเธอเป็นคนดี!”
พอพูดจบ ผู้หญิงที่ชื่อซีซีก็เดินมาตรงหน้าหานมู่จื่อ: “แต่ก่อนที่จะพาพวกคุณไปหาหลินเจิง มือของคุณต้องได้รับการรักษาสักหน่อย ถ้าคุณไม่ถือสาล่ะก็ ฉันช่วยคุณได้”
เสี่ยวเหยียนนิ่งไป แล้วมองฝ่ามือที่น่ากลัวนั้นของหานมู่จื่อ: “รุนแรงแบบนี้ ไปโรงพยาบาลเถอะ”
ไม่อย่างนั้นเธอกลัวว่าบาดแผลจะยิ่งแย่เข้าไปอีก ถึงเวลานั้นคงไม่ดีแน่
ผู้หญิงที่ชื่อซีซีคนนั้นไม่กล้าพูด เพียงแค่มองหานมู่จื่ออย่างจริงใจ หานมู่จื่อคิดสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเอ่ย: “อย่างนั้นรบกวนคุณแล้ว”
พอได้ยิน เสี่ยวเหยียนก็หน้าเปลี่ยนสี: “มู่จื่อ”
หานมู่จื่อกลับก้าวเดินไปหาผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าคนนั้นที่ชื่อซีซี เธอทำได้เพียงเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากที่พวกเขาจากไป ฝูงชนก็ยืนอยู่ที่เดิม
“หลี่เห่าทำไมนายถึงผลักคนอื่นตามใจชอบแบบนี้? ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก?”
เด็กที่เพิ่งจะผลักหานมู่จื่อคนนั้นชื่อหลี่เห่า พอถูกผู้ใหญ่พูดแบบนี้ เขาก็เม้มปากแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า: “เธอเป็นคนเลว!”
“พี่ซีซีของเธอบอกแล้วนิ พวกเธอไม่ใช่คนเลว! นายเห็นเธอรังแกคุณย่าเธอจริง ๆ ใช่ไหม?”
หลี่เห่าพยักหน้า
ดูเหมือนหญิงชราจะทนไม่ได้ที่เห็นหลานชายตนเองถูกด่า แต่ก็ทนมองผู้หญิงสองคนนั้นถูกคนอื่นเข้าใจผิดไม่ได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วเอ่ย: “พวกเธอไม่ได้รังแกฉัน แต่แค่คุยกับฉัน ดูเหมือนเด็กคนนี้จะเข้าใจผิดแล้ว”
“ถ้าเป็นอย่างที่พูด…พวกเราทุกคนต่างก็เข้าใจพวกเธอผิด? พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมงานของหลินเจิงจริงๆ ?”
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานของหลินเจิงแน่นอน ได้ยินเซียวยียีบอกว่า ที่บ้านเขาเกิดเรื่องแล้ว ดังนั้นจึงลองมาดู”
พอได้ยินชื่อของเซียวยียี ซีซีที่กำลังช่วยหานมู่จื่อทำความสะอาดแผลอยู่นั้นก็นิ่งไปสักพัก หลังจากนั้นพยักหน้าแล้วพูด: “ฉันเชื่อพวกคุณ ยียีมาหาพวกเราที่นี่บ่อย ๆ คุ้นเคยกับทุกคนมาก เธอ…ชอบหลินเจิงมาก วิ่งไปบ้านเขาแทบจะทุกวัน”
พอพูดถึงตรงนี้ ซีซีก็มองหานมู่จื่ออย่างอ่อนแรงแวบหนึ่ง แล้วถามเสียงเบา: “คุณไม่เจ็บเหรอ?”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อก็อึ้งไปสักพัก: “ทำไมเหรอคะ?”
“ตอนฉันช่วยคุณทำแผล คุณไม่ร้องออกมาสักคำเลย?” ซีซีมองมือที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ของเธออย่างสงสัยแวบหนึ่ง: “แต่มือของถูกเศษกระจกปัก ยังมีเศษไม้พวกนี้ อีกสักพักคงต้องใช้เข็มแคะออกมา”
หานมู่จื่อมองฝ่ามือของตนเองแวบหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไร
เสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ กลับพูดอย่ากลัดกลุ้ม: “ทำไมจะไม่เจ็บล่ะ? ฉันมองก็เจ็บจะตายแล้ว ที่เธอไม่ส่งเสียงก็เพราะเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง!”
หลายปีมานี้ หานมู่จื่อเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในใจ
เธอจำได้เมื่อก่อนมีครั้งหนึ่ง ในตอนที่เธอเพิ่งไปต่างประเทศได้ไม่นาน ในเวลานั้นหานมู่จื่อยังไม่ได้เป็นนักออกแบบ ครั้งแรกที่เข้าไปทำงานประเภทนี้ก็ถูกรังแกแล้ว หลังจากนั้นก็ได้รับบาดเจ็บรุนแรง
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่พูดอะไรสักคำจนงานเสร็จ
พอคิดดูตอนนี้ เสี่ยวเหยียนก็ยังคงรู้สึกปวดใจแทบตาย
พอได้ยิน ซีซีก็ไม่พูดอะไร ก้มหน้าแล้วทำแผลให้เธอ
เธอก็รู้เหมือนกัน คนตรงหน้าเก็บความรู้สึกเก่งจริง ๆ ตั้งแต่ทำแผลจนถึงตอนนี้ตัวเธอเองยังรู้สึกทนไม่ได้ แต่กลับไม่เห็นหานมู่จื่อขมวดคิ้วสักนิด เพียงแต่หน้าผากขาวเนียนของเธอมีเหงื่อไหลออกมาเท่านั้น
หลังจากรอพันแผลเสร็จ ซีซีก็พูดเบาๆ : “ช่วงสองสามวันนี้อย่าเพิ่งโดนน้ำนะ ถ้ามีเวลาคุณก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยเถอะ วันนี้ฉันทำได้แค่ทำแผลอย่างฉุกเฉิน”
หานมู่จื่อมองเธอแล้วยิ้มบางๆ : “ขอบคุณค่ะ”
แก้มของซีซีแดงระเรื่อ ดูแล้วบริสุทธิ์และจิตใจดีเป็นพิเศษ: “อย่างนั้นตอนนี้ฉันจะพาพวกคุณไปหาหลินเจิงนะ”
“ขอบคุณมาก” หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนเดินตามหลังซีซีเพื่อไปบ้านของหลินเจิง
เพราะซีซีไว้ใจพวกเธอ ดังนั้นระหว่างทางจึงเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับหลินเจิงให้พวกเธอฟัง
หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนเพิ่งจะรู้ ที่แท้ความเป็นอยู่ของหลินเจิงไม่ดีมาก แม่ของเขาเป็นคนที่ออกมาจากไนต์คลับ แล้วแต่งงานกับพ่อของหลินเจิง
เดิมทีพ่อของหลินเจิงเป็นคนหนุ่มที่มีความขยันขันแข็งและแสวงหาความก้าวหน้า มีหน้าตาที่หล่อเหลา ตอนวัยรุ่นยังดึงดูดสาวสวยมากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมพ่อของหลินเจิง ถึงไปหลงรักผู้หญิงจากไนต์คลับได้ ทั้งสองคนตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็มีหลินเจิง
ในช่วงเริ่มแรกชีวิตของสามีภรรยาผ่านไปอย่างมีความสุข หลินเจิงในวัยเด็กก็ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่ของหลินเจิงยังไม่เปลี่ยนนิสัย อยากใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยเหมือนเมื่อก่อน แล้วยังไปหาเงินที่ไนต์คลับ พอรู้สึกว่าพ่อของหลินเจิงไร้ประโยชน์ ให้ชีวิตดี ๆ อย่างที่เธอต้องการไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มทำสงครามเย็น ทะเลาะกัน หลังจากนั้นก็ถึงขึ้นลงไม้ลงมือ
ต่อจากนั้น พ่อของหลินเจิงก็เริ่มติดเหล้า พอเขาดื่มเหล้ากลับมาก็จะเมาแล้วอาละวาด แม่ของหลินเจิงด่าว่าเขาเป็นขี้เหล้า แม้แต่เงินก็ยังหาไม่ได้ เลยทิ้งหลินเจิงไว้แล้วหนีไปไม่กลับมาอีก
หลังจากนั้นต่อมา พ่อของหลินเจิงก็ดื่มเหล้าทุกวัน ในวัยเด็กหลินเจิงใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวลว่าจะไม่ปลอดภัยวันแล้ววันเล่า
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือพ่อของหลินเจิงยังติดการพนันและเป็นหนี้เงินกู้ก้อนโต ตอนนี้หนี้เหล่านี้ก็ตกอยู่กับหลินเจิงไปโดยปริยาย
ดอกเบี้ยสูง
นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว
ยิ่งเป็นหนี้มาก ดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คุณไม่จ่ายแค่วันเดียว ดอกเบี้ยก็จะถูกทบไปอีกวัน
คุณไม่จ่ายหนึ่งเดือน ดอกเบี้ยก็จะถูกทบไปอีกเดือน
สุดท้าย คุณก็คืนเงินพวกนี้ไม่ไหว
พอเดินไปถึงห้องเก่า ๆ ที่อยู่ตรงหน้า ซีซีก็หยุดก้าวต่อ: “ถึงแม้ในตอนปกติพี่หลินเจิงจะเย็นชาไปสักนิด แต่ว่า…ที่เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนนั้น เขาก็แค่ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น คนพวกนี้ ข่มขู่ให้เขาใช้หนี้ ถ้าหากคนพวกนั้นเห็นว่ามีใครเข้าใกล้เขาล่ะก็ จะต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้คนนั้นแน่นอน”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็นิ่งไปสักพัก อดมองซีซีแวบหนึ่งไม่ได้
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นรักสันโดษใช่หรือไม่?
เธอยังคิดว่า…เขาถูกกดดันเพราะสภาพแวดล้อม นึกไม่ถึงว่า…
“พวกคุณรอสักครู่ ฉันเข้าไปดูก่อน”
ซีซีห้ามไว้ หลังจากนั้นเดินเข้าไปก่อน
ในตอนที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้าไป เซียวยียีที่เดินร้องไห้ออกมาก็บังเอิญเจอกับพวกเธอเข้าพอดี
ทั้งสี่คนต่างก็อึ้งไปสักพัก เซียวยียีรีบก้าวมาตรงหน้าของหานมู่จื่อ แล้วพูดด้วยความโมโห: “คุณมาที่นี่ทำไม? คุณอย่าคิดว่าหลินเจิงจะยอมรับความหวังดีจากคุณ ไปให้พ้นจากที่นี่เสียเถอะ”
สายตาของหานมู่จื่อมองเธออย่างราบเรียบ ไม่ได้พูดต่อ
เสี่ยวเหยียนหมดคำพูด: “พวกเราแค่จะมาดูเขาแค่นั้น เกี่ยวอะไรกับเธอ?”
เซียวยียีกลับส่งเสียงโกรธออกมาคำหนึ่ง ส่ายหัวแล้วเดินออกไป
หลังจากที่เธอจากไป เสี่ยวเหยียนได้พูดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้กับเธอ
หลังจากนั้น ก็มีเสียงโครมครามดังออกมาจากในห้อง ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกกระแทกพื้นอย่างแรง ไม่นานชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตบางสีขาวก็เดินออกมา
“ไปให้พ้น ตัวอัปมงคลอย่างแก ออกไปให้พ้นหน้ากู”