บทที่ 403 ใครมา
เธอไม่ได้พูดอะไร แล้วหลังจากปิดสมุดก็เอาผลงานของหลินเจิงวางไว้ที่ซ้ายมือ จากนั้นดูผลงานอื่นๆ แล้วพลางอธิบายปัญหาให้ทุกคนฟัง
“งานออกแบบของเซียวยียี ต้องดีกว่าก่อนหน่อย ยังเปลี่ยนไปไม่มาก ถ้าหากอยากจะเปลี่ยนตัวเอง ต้องลองทำใจกล้าสักหน่อย การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ก็ไม่สามารถส่งผลกระทบรูปแบบทั้งหมดที่คุณออกแบบ”
หานมู่จื่อมองไปที่จางยู่อีก จากนั้นขมวดคิ้วแล้วมองไปที่จางยู่
“อะไร? เมื่อวานฉันใช้เวลาทำความเข้าใจของหลินซิงหั่วแล้ว! เธออย่าคิดทำมาแก้ตัวเพื่อทำร้ายฉัน ”
ได้ยินแล้ว หานมู่จื่อยิ้มมุมปากแล้วยิ้มอย่างเย็นชา พูดเบาๆ : “จางยู่ เธอคิดว่าครั้งที่แล้วฉันหาคำมาตำหนิเธอหรอ เธอเลยจงใจระบายความโกรธลงในงานของเธอใช่ไหม? ”
เธอเอาผลงานของเธอวางกลับไปที่หน้าของจางยู่ “เอากลับไปดูสักสองสามรอบนะ อย่าลืมว่าปรัชญาของนักออกแบบคืออะไร ”
จางยู่ยังอยากพูดอะไรอีก หานมู่จื่อกลับไม่ให้โอกาสเธอ เลยพูดว่า : “ผลงานครั้งนี้ผลงานของเลิงเยาเยาไม่เลวเลย ยอมรับการแก้ไข แก้ไขอย่างละเอียด อีกสักครู่เธออยู่ก่อนเพื่อที่จะคุยกับฉันเรื่องรายละเอียดอื่นๆ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ส่งฉบับนี้ให้ลูกค้าของเราได้เลย”
เลิงเยาเยาค่อนข้างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกเลือก
สายตาที่เธอมองหานมู่จื่อยิ่งตกใจ เม้มปากไม่พูดอะไร หวังอานข้างๆ เธอ เห็นแฟนของตัวเองโดนชม ยิ่งทำตัวไม่ถูก รีบประจบ ชมว่า : “เยาเยาเก่งมาก!”
“หลังจากการประชุมจบลง เยาเยากับ หลินเจิงอยู่ก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณ ”
หลังจากการประชุมจบลง จางยู่รีบออกจากห้องประชุมไปคนแรก คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ แยกย้ายไป หลินเจิงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเย็นชา เหมือนกับไม้
พอดีข้างๆ เขาเป็นเสี่ยวหมี่โต้ว เสี่ยวหมี่โต้วใช้สายตาสงสัยมองไปที่เขา
พี่ชายคนนี้ ท่าทางช่างเย็นชาจริงๆ แต่เขากลับหน้าตาไม่เลวเลยนะ
เลิงเยาเยามองหานมู่จื่ออย่างไม่พอใจ
“ให้ฉันอยู่ก่อน มีอะไรจะพูดหรอ? ”
พูดจบ ไม่รอให้หานมู่จื่อพูด เธอก็พูดขึ้นมา : “คุณอย่าคิดว่าแบบนี้ฉันจะซาบซึ้งคุณนะ ฉันจะบอกคุณให้ ถ้าคุณเป็นผู้หญิงแบบที่ไม่มีความสามารถ ฉันก็คงไม่ชอบคุณหรอก! ”
หานมู่จื่อ:“……”
เธอมองเธออย่างเย็นชา จากนั้นพูดว่า : “ฉันต้องการความชอบของเธอทำไม? ”
เลิงเยาเยาสำลัก
“สรุปมีอะไรก็รีบพูดเถอะ ”
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลงาน ถึงแม้ความละเอียดจะไม่เลว แต่มีสองสามจุดที่ฉันอยากพูดกับเธอหน่อย ”
“งั้นมีอะไรก็รีบพูด! ” ประชันหน้ากับหานมู่จื่อ เลิงเยาเยาอึดอัดมาก เรียกได้ว่าเธอเองก็เป็นคนที่น่าอึดอัดสุด ๆ
หานมู่จื่อพูดความคิดเห็นของตัวเองส่วนหนึ่งกับเธอ จากนั้นถามเธอว่าเป็นยังไง เลิงเยาเยาสักพักทำตาโต : “คุณพูดก็โอเคแล้ว คุณถามฉันทำไม? ฉันจะ…..”
“ผลงานเป็นของคุณ คุณมีอำนาจตัดสินใจ ที่ฉันจะพูดฉันพูดไปหมดแล้ว คุณกลับไปคิดเอง ”
“เหอะ! เลิงเยาเยาหยิบข้อมูลของตัวเอง จากนั้นสะบัดผมออกไป ”
รอเธอไปแล้ว สายตาของหานมู่จื่อถึงตกมาที่หลินเจิง
“หลินเจิง คุณมานี่”
ไหล่ที่บางๆ ของหลินเจิงขยับ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นยืนขึ้นเดินไปที่หน้าหานมู่จื่อ
เห็นริมฝีปากที่บางซีดของหนุ่มเม้มแน่นตลอด เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมพูด หานมู่จื่อก็ไม่บังคับเขา แค่เอาผลงานดันต่อหน้าเขา
“ดูจากภาวะของคุณตอนนี้ คือไม่มีทางออกแบบงานพวกนี้ตอนนี้ได้ คุณต้องปรับเปลี่ยนภาวะของคุณให้ไวที่สุด หลินเจิงมองที่ผลงานพวกนั้น สายตานิ่งไป ในที่สุดริมฝีปากบางก็ค่อยๆ เปิด”
“ยังไม่โอเคหรอ? ”
“อะไร? ”
“ของที่ผมออกแบบ ตรงตามความต้องการของพวกคุณไหม? งั้นคุณให้ผมอยู่ที่นี่ต่อทำไม? ”
พูดจบ หลินเจิงหันตัวกลับแล้วเดินจากไป
หานมู่จื่ออึ้ง วินาทีต่อมาเธอมองข้างหลังของหลินเจิง : “เพราะคุณมีพรสวรรค์ เพราะฉะนั้นบริษัทเลยให้โอกาสคุณ”
หลินเจิงก้าวเท้าก็หยุดอยู่กับที่ เขาค่อนข้างจะไม่เชื่อที่ตัวเองได้ยิน เพราะว่าเขามีพรสวรรค์?
คนเหมือนเขา เกิดมาได้แต่ออกแบบพวกแนวเดวิล ทำให้คนรู้สึกไม่มีความสุข ผลงานที่หดหู่ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวกะทิในแวดวงการออกแบบ แต่เขาก็ไม่มีความนิยมอะไร เพราะของที่เขาออกแบบมีคนชอบน้อยมาก
แต่เขาก็ยังขาดแคลนเงินมาก
ที่บ้าน……ต้องการเงิน
สายตาของหานมู่จื่อแผดเผาลงบนแผ่นหลังบางๆ ของหนุ่ม เสื้อไม่สามารถซ่อนความผอมของเขาได้
“ความยากลำบากเป็นเพียงชั่วคราว หลังจากความมืดจะมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์อยู่เสมอ คุณมีพรสวรรค์มาก
ใครก็ต้องการคนแบบนี้ ”
หานมู่จื่อยืนขึ้น ค่อยเดินไปข้างตัวเขาทีละก้าวๆ : “แน่นอน หากคุณต้องการที่จะยอมแพ้ในเวลานี้
งั้นใครก็ช่วยคุณไม่ได้ บริษัทก็จ่ายเงินเดือนให้พวกคุณเพียงพอแล้ว ในช่วงเวลานี้ คุณมีเวลามากพอที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว”
ตัวของหลินเจิงสามารถพูดได้ว่ายังคงอยู่ที่เดิม
จากเล็กจนโต ไม่มีใครเคยพูดคำพูดพวกนี้กับเขาเลย
เขาบีบมือลงข้างตัว เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากค่อนข้างนูนออก
“เมื่อวานคุณไปบ้านผมมาแล้วใช่ไหม? ”
หานมู่จื่อขมวดคิ้ว ปฏิเสธไม่ได้
หนุ่มหันกลับมา สายตามองไปที่ใบหน้าของเธอ : “เพราะฉะนั้น คุณกำลังสงสารผม? ”
“สงสารคุณ? ” หานมู่จื่อยิ้มอย่างเย็นชาไปทางเขา หายใจเข้าลึกๆ : “ฉันเป็นนักออกแบบ ตอนนี้ก็เป็นนักธุรกิจด้วย คุณคิดว่า…… นักธุรกิจสามารถสงสารคนอื่นได้หรอ? ”
พูดจบ หานมู่จื่อมองไปที่เสี่ยวหมี่โต้วที่กำลังนั่งสั่นขาเล็กๆ อยู่
“เสี่ยวหมี่โต้ว ลงมาได้แล้ว ถึงเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้ว พวกเราต้องกลับบ้านแล้ว”
“โอ้” เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นปืนลงมาจากเก้าอี้ เดินมาที่ข้างตัวหานมู่จื่อจับมือของเธอเอง จากนั้นเขาเหลือบมองไปที่หลินเจิง แล้วก็ยิ้ม
“หม่ามี๊ งั้นพวกเราไปเถอะ”
“อืม”
หานมู่จื่อจูงมือเสี่ยวหมี่โต้วจากไป ทิ้งให้หลินเจิงยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว
ลมจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามา ทำให้เอกสารบนโต๊ะปลิว หลินเจิงเมื่อเห็นอัลบั้มรูปของตัวเอง ทั้งคนก็ตกอยู่ในความเงียบแปลก ๆ
พรสวรรค์หรอ?
เบื้องหลังความมืดมิดเป็นแสงของดวงอาทิตย์หรอ?
ไม่เคย……ไม่เคยมีใครเคยพูดแบบนี้กับเขา
แต่ว่า เขาจะก้าวผ่านความมืดเพื่อค้นหาแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้อย่างไร? เขากัดฟันและกำหมัดแน่น
“หม่ามี๊ พี่ชายคนเมื่อกี้ท่าทางเขาเย็นชามาก ไม่เหมือนคนปกติเอามากๆ ”
ไม่เหมือนคนปกติ? หานมู่จื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ซีซี บอกเขา ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
คนที่ใช้ชีวิตบนสถานการณ์แบบนั้น สามารถมาถึงวันนี้ได้จิตใจยังดีขนาดนี้ถือว่าหาได้ยาก พรสวรรค์ของหลินเจิงตอนนี้ยังต้องขุดหา คนอื่นขุดไม่ขึ้น ไม่ได้หมายความว่าหานมู่จื่อเธอจะไม่สามารถ
อีกอย่าง เธอก็ยังยอมที่จะให้โอกาสเขาได้เกิดใหม่
พอเดินถึงข้างล่างตึก ก็กลับมาทันที
“มู่จื่อมู่จื่อ!พวกเราได้ลูกค้าใหม่มา!”
ลูกค้าใหม่? หานมู่จื่อหันหัวกลับไปมองเสี่ยวเหยียน เธอวิ่งมาที่หน้าหานมู่จื่อ เหนื่อยหอบ พูดด้วยใบหน้าซีดเซียว