บทที่ 411 ถ้าฉันไม่ปล่อยล่ะ
บริษัทตระกูลเย่
เมื่อหานมู่จื่อเดินไปที่แผนกต้อนรับและบอกว่าเธอมาจากบริษัทออกแบบ สายตาของพนักงานแผนกต้อนรับก็เปลี่ยนไปทันทีและก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงไม่รู้จักตายใจสักที เมื่อกี้นี้ก็มาคนหนึ่งแล้ว ผลปรากฏว่าคุณชายเย่ไม่เห็นจะให้ความสนใจ พวกคุณยังจะมาอีกเหรอ”
เดิมทีแผนกต้อนรับได้ยินว่าเป็นบริษัทที่ร่วมมือกันและคิดว่าเป็นเรื่องจริง จึงแจ้งไปให้เย่โม่เซินทราบ
ผลหลังจากคุณชายเย่ลงมา เห็นอย่างได้ชัดเจนว่าเขาไม่แยแสหญิงสาวเลย แม้ว่าจะไม่ได้ยินชัดในสิ่งที่พวกเขาพูด แต่จากใบหน้าของคุณชายเย่ก็สามารถสังเกตสีหน้าที่หมดความอดทนได้
ดังนั้นตอนที่แผนกต้อนรับได้ยินว่าหานมู่จื่อเป็นคนของบริษัทออกแบบ สายตาของแผนกต้อนรับจึงดูหมิ่นอย่างเห็นได้ชัดเจน
หานมู่จื่อไม่ได้โกรธ แต่พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ประธานเย่เป็นคนที่สั่งให้ฉันมา และตอนนี้ฉันก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน”
แผนกต้อนรับ “จริงเหรอ คุณบอกแล้วฉันจะต้องเชื่อ”
หานมู่จื่อมองเธอด้วยท่าทางที่มั่นคงและพูดว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นคุณลองโทรไปถามตอนนี้ดู”
“ถามอะไร รีบออกไปเถอะ”
แผนกต้อนรับไล่เธออย่างไม่เกรงใจ
เมื่อไม่มีทางเลี่ยง หานมู่จื่อจึงต้องเป็นฝ่ายโทรหาเย่โม่เซิน
ขอเพียงแค่เป็นลูกค้าของบริษัท เธอมักจะบันทึกหมายเลขโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างดี รวมทั้งของเย่โม่เซินด้วย เพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้เสมอ
ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ
หานมู่จื่อโทรศัพท์ไปหาเย่โม่เซินไม่นาน ทางนั้นก็รับสาย
เธอไม่ได้อ้อมค้อมและพูดด้วยเสียงต่ำอย่างตรงไปตรงมา “นายเย่ฉันชื่อShellyเป็นนักออกแบบของบริษัทจื่อชวน ตอนนี้ฉันอยู่ชั้นล่างแต่ทางบริษัทของคุณห้ามฉันเข้า รบกวนนายเย่มารับฉันด้วย”
เมื่อแผนกต้อนรับได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของเธอก็คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป หล่อนเผด็จการขนาดนั้นเลยเหรอ
ใครมันกล้าที่จะคุยกับคุณชายเย่แบบนั้น หล่อนบ้าไปแล้วหรือไง
หลังจากหานมู่จื่อวางโทรศัพท์ แผนกต้อนรับก็ตัวสั่นและพูดว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ คุณใช้คุณชายเย่ของพวกเราลงมาเพื่อรับคุณหรือคุณกำลังฝันกลางวันอยู่”
หานมู่จื่อไม่ตอบคำพูดของเธอ เพียงแค่มองไปที่เธอด้วยสายตาจางๆ
บ้าไปแล้วหรือเปล่า
เธอคงบ้าไปแล้วจริงๆ ถึงเซ็นสัญญากับเย่โม่เซิน
ไม่เช่นนั้นตอนนี้เธอจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
หานมู่จื่อยกข้อมือขึ้นและดูเวลาบนนาฬิกา เธอจะรออยู่ที่นี่เป็นเวลาห้านาที ถ้าเย่โม่เซินยังไม่ลงมา งั้นเธอจะออกไปเอง
พอถึงเวลานั้น ก็คงไม่ถือว่าผิดสัญญาหรอกนะ
อย่างไรเสียเธอก็มาตามคำแนะนำของเขาแล้ว แต่คนที่ไม่เจอเธอก็คือเขาเอง
หานมู่จื่อยืนรออยู่ที่เดิมอย่างสบายๆ
เดิมทีเธอนั้นคิดว่าจะโดนปล่อยให้ยืนรอเก้อ แต่เธอไม่คาดคิดว่าภายในสองนาที อยู่ๆเย่โม่เซินก็มาปรากฏตัวอยู่ในสายตาของเธอ
“พระเจ้าช่วย” แผนกต้อนรับอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาและเอามือปิดปากตัวเอง
แผนกต้อนรับรู้สึกได้ทันทีว่าไม่ใช่หานมู่จื่อที่บ้า แต่เป็นเธอต่างหากที่บ้า
ทั้งๆตอนโทรศัพท์น้ำเสียงก็ไม่ได้ดี ทำไมคุณชายเย่ถึงลงมาด้วยตนเอง
“ตามผมมา”
เย่โม่เซินก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และจับข้อมือของเธอโดยตรง แล้วเดินเข้าไปข้างใน
การกระทำเช่นนี้ทำต่อหน้าทุกคนในห้องโถงใหญ่ แผนกต้อนรับต่างก็ตกใจจนตากว้างและคิดว่าตัวเองนั้นมองผิดไป
หานมู่จื่อไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะรวดเร็วขนาดนี้ดังนั้นเมื่อเขามาจับข้อมือของเธอ เป็นเธอเองที่เหม่อไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งโดนเขาดึงไปที่ลิฟต์ หานมู่จื่อถึงค่อยกลับมามีปฏิกิริยาอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ปล่อย” พร้อมกับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา หานมู่จื่อได้ถูกดึงเข้าไปในลิฟต์โดยเย่โม่เซิน
ติง—-
ประตูลิฟต์ปิดลง มีเพียงคนสองคนที่อยู่ในพื้นที่เล็กๆนี้
หานมู่จื่อดึงมือของเธอกลับ และถอยหลังไปไม่กี่ก้าว หลังของเธอก็ติดกับผนังลิฟต์ที่เย็น พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
เมื่อตอนที่เธอดึงมือกลับ เย่โม่เซินรู้สึกถึงหัวใจที่ว่างเปล่าทันที ความอบอุ่นในมือที่อ่อนนุ่มก็พลันหายไปด้วย
หานมู่จื่อจัดแขนเสื้อของตัวเองให้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเย่โม่เซิน
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะก้มศีรษะลงตลอด แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ใบหน้าของเธอตลอดเวลา
แบบนี้มันช่างน่ารำคาญชะมัด
ติง—-
ไม่รู้ว่าเงียบไปนานแค่ไหน ในที่สุดประตูลิฟต์ก็เปิดออก หานมู่จื่อเงยหน้ามองออกไปข้างนอก แล้วเดินตามเย่โม่เซินออกไป
ช่วงเวลาที่ออกจากลิฟต์ มันเหมือนเวลาผ่านไปนานเป็นชาติ
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เธอเคยย่างเท้าเข้ามานับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าช่วงเวลาทำงานของเธอในสถานที่แห่งนี้จะมีเพียงไม่กี่เดือน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลาชั่วชีวิตสำหรับเธอ
เพราะวันเวลาของความทรงจำ ณ ที่แห่งนี้ไม่สามารถลบออกไปจากใจของเธอได้
ในอดีตเธอคิดว่าเธอคงลืมมันไปแล้ว แต่เมื่อย่างเท้าเข้ามาถึงที่นี่ ความรู้สึกที่คุ้นเคยจู่ๆก็ทำให้เธอนึกขึ้นได้ ว่าความจริงแล้วเธอไม่เคยลืมสถานที่แห่งนี้และผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอได้เลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หานมู่จื่อก็หยุดเดินและมองไปยังภาพตรงหน้าของเธอ
“เป็นไร นึกถึงอดีตของคุณ” จู่ๆเสียงผู้ชายที่แหบแห้งก็ดังมาจากข้างหู จนทำให้หานมู่จื่อสะดุ้งและดึงสติกลับมาอย่างกะทันหัน
ในช่วงขณะหนึ่งที่เธอเหม่อลอยอยู่นั้น นึกไม่ถึงว่าเย่โม่เซินจะอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ ใกล้จนใบหน้าของเธอรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา
หน้าของหานมู่จื่อเปลี่ยนสีและถอยหลังห่างทันที
อาจเป็นเพราะเธอถอยหลังอย่างเร่งรีบ จึงทำให้ข้อเท้าพลิก หานมู่จื่อรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายของเธอจะล้มลงไปอย่างทันทีทันใด มือของเธอมีปฏิกิริยาตอบโต้ทำการคว้าอย่างสะเปะสะปะ หลังจากนั้นเธอก็คว้าเนกไทของเย่โม่เซินได้
ในช่วงเวลาเดียวกันที่คนสองคนมึนงง และวินาทีต่อมา หานมู่จื่อปล่อยมือที่จับเนกไทของเขา ปล่อยให้ร่างของตัวเองล่มลง
เธอยอมที่จะเจ็บตัวมากกว่าที่จะพึ่งพาเขา
แต่ความเจ็บปวดที่รอคอยกลับไม่มาถึง แต่กลับเป็นว่ามีมือคู่หนึ่งโน้มตัวเข้าหา และทำการโอบเอวเธอ พร้อมกับดึงเธอกลับมา
ปัง
หานมู่จื่อกระแทกเข้าสู่อ้อมกอดของเย่โม่เซิน เธอเอื้อมมือไปกั้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับได้ยินคำพูดที่เย็นชาจากเย่โม่เซินว่า “เกลียดผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ ยอมที่จะล้มมากกว่าที่จะพึ่งผม”
ไม่รอให้เธอตอบ เย่โม่เซินจับคางของเธอ และบีบบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น “ตอบฉัน”
หานมู่จื่อมองเขาอยู่ครู่หนึ่งและสูดหายใจอย่างช้าๆ “นายเย่เข้าใจผิดหรือเปล่า ที่ฉันปล่อยมือไปเพราะฉันไม่ต้องการที่จะทำให้คุณลำบาก อย่างไรก็ตามคุณเป็นลูกค้าของฉัน ถ้าเกิดว่าคุณเป็นอะไรไป ก็จะเกิดการขาดทุนมากมายในธุรกิจของฉันได้”
เย่โม่เซิน “……”
“แต่ก็ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ ตอนนี้คุณปล่อยฉันได้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาของเย่โม่เซินก็ปรากฏให้เห็นสายตาที่อันตราย เขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา
“ถ้าฉันไม่ปล่อยล่ะ”
หานมู่จื่อไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะไร้ยางอายขนาดนี้ แต่ถ้าคิดให้ดีๆ คนคนนี้มาเพื่อทำให้เธออับอายขายขี้หน้า การกระทำที่ไร้ยางอายเพียงแค่นี้ก็ไม่เท่าไรหรอก เธอทำได้เพียงแค่ยิ้มและพูดด้วยเสียงเบาว่า “นายเย่ถ้าขืนอยู่อย่างนี้ต่อไป ก็คงคุยเรื่องงานกันไม่รู้เรื่องแน่ คุณควรปล่อยได้แล้ว”
คำพูดและรอยยิ้มที่ไม่ยอมรับของเธอ ทำให้เย่โม่เซินไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนเกิดการลงแรงที่เพิ่มขึ้นที่มือของเขา เขาลากตัวเธอเข้าใกล้ตัวเขาเอง จนทำให้ร่างกายของทั้งสองคนเหมือนจะติดไว้ด้วยกัน
“ใครว่าจะหาวิธีคุยเรื่องงานไม่ได้”
ระยะทางใกล้มาก ริมฝีปากอันบางเบาของเย่โม่เซินใกล้จะติดกับใบหน้าของเธอแล้วด้วยซ้ำ
“พวกเราคุยกันแบบนี้ก็ได้” เสียงพูดอันทุ้มต่ำของผู้ชายเหมือนดั่งเสียงที่ค่อยๆสีบรรเลงของเชลโล