บทที่ 412 ได้โปรดให้อภัย
เมื่อเย่โม่เซินได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้ ดวงตาสีเข้มของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาของเขาดูเหมือนจะบ้าคลั่งและจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธออย่างแน่นหนา สุดท้ายก็มองลงมาที่ริมฝีปากของเธอ
เขาไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์อารมณ์ตัวเองได้ ยามเมื่อเขาต้องการที่จะก้มศีรษะลง
ความอัปยศอดสูของหานมู่จื่อในใจนั้นยิ่งร้ายแรงยิ่งกว่า เธอกัดฟันหลับตาแล้วพูดว่า “นายเย่ฉันเคยพูดแล้วไม่ใช่เหรอ”
การกระทำของเย่โม่เซินหยุดชะงัก พร้อมกับดวงตาที่สับสนเล็กน้อย “ฮะ”
ต่อจากนั้นดวงตาที่ไม่ได้สติ พร้อมกับในตาที่มืดสลัวหดตัวลงในชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าส่วนลึกของเย่โม่เซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หานมู่จื่อรวบขากลับและถอยหลังไปสองสามก้าว
“หากมีคราวหน้าอีก คงไม่ได้ง่ายขนาดนี้” หานมู่จื่อปัดมือของเธอ หลังจากนั้นก็เอามือมากอดอกเอาไว้ มองไปที่เย่โม่เซินที่โดนฝ่าเท้าของเธอ ขนาดบนหน้าผากของเขาก็ยังมีรอยช้ำที่ยื่นออกมา “ตอนนี้คุณก็รู้แล้ว”
เย่โม่เซินหน้าเปลี่ยนเสีย หน้าผากมีเหงื่อออกเล็กน้อย
ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้มือหนักจริงๆ
นึกไม่ถึง
ความเจ็บปวดที่มาจากไหนสักแห่งทำให้เย่โม่เซินเกือบจะสูญเสียกำลัง เขาเงยหน้ามองผู้หญิงที่ยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอแค่ยืนยิ้มมองเขาอยู่ตรงนั้น คล้ายกับภาคภูมิใจในความจนตรอกของเขา
“นายเย่ดูเหมือนจะดูทุกข์นะคะ เกรงว่าวันนี้เราคงคุยเรื่องงานกันไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นฉันค่อยกลับมาใหม่อีกวัน”
หานมู่จื่อพูดจบและหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ
“น่าเสียดายจริง วันนี้ฉันคิดว่าฉันจะได้ไปเยี่ยมเยียนสำนักงานของบริษัทตระกูลเย่แห่งเมืองเป่ยสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว ฉันคงต้องขอตัวก่อน” พูดจบ หานมู่จื่อก็แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยไปในทางเย่โม่เซิน หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
เธอยืนอยู่หน้าลิฟต์เพื่อกดลิฟต์ ดวงตามองดูลิฟต์ที่ไต่ขึ้นมาทีละชั้น หานมู่จื่อดีใจที่ในที่สุดเธอก็ได้ออกจากที่นี่สักที
ผลปรากฏว่า เธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลังของตัวเธอเอง เธอเพียงแค่อยากหันหลังกลับไปมองดูว่าใช่เย่โม่เซินที่เดินมาหรือเปล่า วินาทีต่อมาคนทั้งคนก็ลอยขึ้นกลางอากาศ หลังจากนั้นเธอก็โดนเย่โม่เซินอุ้มขึ้นบ่าไป
“อะ” ถึงแม้ว่าตอนนี้หานมู่จื่อจะดูเหมือนใจเย็น แต่ก็ยังคงหวาดกลัวกับการกระทำที่โดนในครั้งนี้ พร้อมกับอุทานออกมา
เมื่อได้สติ หานมู่จื่อก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอสวมชุดกระโปรง ตอนนี้เธอถูกเขาแบกไว้บนบ่าแบบนี้ เธอคงถูกมองไม่เหลือแล้วแน่ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้สีหน้าบนใบหน้าของหานมู่จื่อก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันรวดเร็วว่า “ปล่อยฉันลง เย่โม่เซิน คุณปล่อยฉันลง”
เป็นเธอที่ดูถูกผู้ชายตรงหน้าหรือเปล่า ตอนแรกที่คิดว่าฝ่าเท้าที่เตะออกไปอาจทำให้เขาปวดไปอีกนาน แต่ไม่ได้คิดว่า……เขายังจะมีแรงที่จะอุ้มเธอได้อีกและเขาก็ยังเดินได้รวดเร็วขนาดนี้
ปัง
เย่โม่เซินใช้เท้าเตะเปิดประตูห้องทำงาน แล้วอุ้มหานมู่จื่อเดินเข้าไป
เซียวซู่่ทำงานอยู่ห้องข้างๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ก็คิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขารีบวิ่งออกไปดู แต่น่าเสียดายที่เขาออกมาช้าเกินไป เขาเห็นเพียงประตูห้องทำงานปิดเอาไว้
เขาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อต้องการถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังออกมาจากข้างใน
“คุณปล่อยฉันลงเดียวนี้ เย่โม่เซิน คุณจะทำอะไร”
อะไรวะ
เซียวซู่่ตอนนี้ทั้งร่างกายต่างรู้สึกไม่ดีเลย
เขาเพิ่งจะ…..ได้ยินอะไรสักอย่าง
ห้าปีที่หักห้ามใจของเย่โม่เซิน นึกไม่ถึงว่าจะหาผู้หญิง แล้วยังพาผู้หญิงคนนี้มาที่ห้องทำงานอีก
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน เซียวซู่่ขยี้ตาและมองไปยังห้องทำงานที่ปิดสนิท
หรือว่าเมื่อสักครู่เขาเกิดภาพหลอน แต่เสียงที่ดังออกมาจากห้องทำงาน ยังคงทำให้เซียวซู่่กลับมามีสติอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขากำลังฝัน แต่เย่โม่เซินพาผู้หญิงมาที่ห้องทำงานจริงๆ
จู่ๆเซียวซู่่ก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนในWechatของเย่โม่เซินหรือเปล่า
เซียวซู่่คิดไปอยากรู้ไปและเดินกลับเข้าที่ทำงานของตัวเอง
ภายในห้องทำงาน
“ปล่อยฉันลง…อ๊ะ…”
หานมู่จื่อถูกวางตัวลง แต่ก็ถูกผลักลงบนโซฟานุ่ม ไม่รอให้เธอโต้ตอบ ร่างสูงของเย่โม่เซินก็พลิกลงมา จากนั้นก็ควบคุมทั้งมือและเท้าของเธอ
“คุณต้องการอะไรกันแน่”
ในขณะนี้ สีหน้าของหานมู่จื่อก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถมองเขาด้วยสายตาที่สงบได้อีกต่อไป
ดวงตาสีเข้มของเย่โม่เซินจับจ้องไปที่เธอ
“ฝ่าเท้านี้ทำให้ไม่มีลูกหลานได้เลยนะ เธอนี้ช่างใจดำอำมหิตจริง”
เขาตำหนิ ภายในดวงตาของเขาเหมือนลุกโชนด้วยความโกรธ
หานมู่จื่อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็หัวเราะเยาะ “ถ้าคุณยังไม่ปล่อยฉันล่ะก็ ฉันก็ไม่ถือสาที่จะมอบให้อีกฝ่าเท้าหนึ่ง ให้คุณไม่สามารถมีลูกมีหลานตามคำกล่าวหาและโทษฐานที่ให้ไว้”
ได้ยินเช่นนั้น สายตาของเย่โม่เซินก็หลบลงเพียงไม่กี่นาที
“เกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นายเย่” หานมู่จื่อรีบพูดขัดจังหวะเขาอย่างแรง “โปรดรับรู้ไว้สิ่งหนึ่ง ตอนนี้คุณเป็นแค่ลูกค้าของฉัน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อห้าปีก่อน มันก็เป็นเพียงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่สำหรับฉันมันเป็นแค่ความทรงจำความทรงจำหนึ่ง ดังนั้นหลังจากนี้ต่อไปขอให้นายเย่ได้โปรดอย่าแตะต้องฉันอีก ถ้านายเย่ยังทำอะไรบางอย่างที่ไม่สุภาพกับฉัน งั้นมันก็เป็นเพียงการป้องกันตัวที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่าให้คุณสมบัติพิเศษอื่นใดแก่พวกมันเลย”
“การป้องกันตัวที่ถูกต้องตามกฎหมาย” ดวงตาสีดำลึกของเย่โม่เซินจับมองไปยังที่เธอ หน้าก็ค่อยๆกดลงอย่างช้าๆ
หานมู่จื่อหยุดหายใจไม่กี่นาที “ถ้านายเย่ยังคงเดินหน้าต่อไป ฉันก็คงต้องผิดสัญญา”
เพราะคำพูดของเธอ จึงทำให้เย่โม่เซินหยุดกระทำลง หลังจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด แต่เขาก็ไม่ได้ถอยร่างออกไป
ภายในห้องทำงานที่เงียบสงบ มีเพียงคนสองคนที่หายใจและเสียงเต้นของหัวใจที่เกิดขึ้นเพราะการต่อสู้ที่รุนแรง ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบนี้มันไม่สามารถที่จะบรรเทาเสียงลงได้
เป็นเวลานานมาก หานมู่จื่อดูเหมือนจำใจที่จะต้องพูดออกมา
“บริษัทของเราเป็นบริษัทใหม่ ถ้าบริษัทตระกูลเย่แห่งเมืองเป่ยต้องการโจมตีบริษัทของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ ฉันเป็นเพียงแค่นักออกแบบตัวเล็กๆ ถ้านายเย่มีอคติกับฉัน ฉันสามารถจัดหานักออกแบบของบริษัทของเราให้คุณเลือกใหม่ นายเย่ได้โปรดให้อภัยด้วย อย่าบีบบังคับฉันแบบนี้เลย”
ในขณะที่เธอพูดแบบนี้ ในดวงตาก็อดกลั้นไว้ซึ่งความอับอาย
ในทรวงอกของเย่โม่เซินเหมือนราวกับโดนค้อนทุบ
สำหรับเธอแล้ว สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงการดูถูกอย่างหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมีสายตาเช่นนี้
ช่างบรรยายไม่ถูก เย่โม่เซินรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดร้ายแรงมาก
เขาแค่เพียงอยากเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้เท่านั้น แต่เขากลับทำร้ายเธอแทนอย่างนั้นเหรอ
“นายเย่คุณลุกขึ้นยืนได้ไหม”
เขาไม่ตอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธเธอด้วยเช่นกัน หานมู่จื่อยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อผลักเย่โม่เซิน และพยายามที่ผลักเขาออกไป เธอไม่ได้ขยับ แต่พอเธอผลักเย่โม่เซิน ไอ้คนเลวกลับเอื้อมมือเข้ามากอดเธอตรงๆ แล้วเอนตัวไปฝังอยู่ที่คอของเธอ
“เอ่อ…” สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นไปทั่วคอของเธอ หานมู่จื่อนั้นเหมือนคนที่ถูกแช่แข็งในขณะนี้
เขา…กำลังทำอะไรอยู่
“อย่าขยับ” เย่โม่เซินกระซิบเสียงต่ำอยู่ที่ตรงกลางคอของเธอ ริมฝีปากบางๆ ดูเหมือนจะเฉียดโดนคอของเธอด้วย
“ให้ผมกอดสักพัก แล้วผมจะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีก”
หานมู่จื่อ “……”
เป็นการได้คืบจะเอาศอกจริงๆ
หานมู่จื่อยกขาขึ้นอีกครั้ง