บทที่ 413 ขัดจังหวะเรื่องดีของประธานเย่
“ไม่มีใครบอกคุณหรือว่าอย่าทำแบบเดิมซ้ำสอง”
แต่ทว่าครั้งนี้ หานมู่จื่อกลับทำไม่สำเร็จ
เย่โม่เซินอย่างกับเหมือนจะมองเห็นการกระทำของเธอล่วงหน้า หยุดขาทั้งสองข้างของเธอไว้ได้ล่วงหน้าและอย่างกับดูท่าทางของเธอออกได้อย่างง่ายดาย
เดิมทีความแตกต่างในด้านพละกำลังของทั้งสองคนก็แตกต่างกันมาก ก่อนหน้าที่หานมู่จื่อสามารถทำร้ายเขาได้ เพียงเพราะว่าช่วงเวลานั้นเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับกลิ่นหอมของเธอ นอกจากนี้เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะขยับเท้าอย่างกะทันหัน ดังนั้นเขาจึงถูกกระแทกโดยไม่ได้ทันระวังตัว
แต่กลอุบายเดียวกัน ถ้าใช้ครั้งที่สอง ผลที่ได้รับคือเล็กน้อยมาก
ขาของหานมู่จื่อถูกเขากดไว้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที “คุณปล่อยฉันนะ”
รอยยิ้มที่ชั่วร้ายเล็กน้อยของเย่โม่เซิน “ปล่อยไปแล้ว ให้คุณเอาเท้ามาทักทายต่อไปเหรอ คุณคิดว่าผมโง่มากหรือไง ถึงให้คุณหลอกอีก”
หานมู่จื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ และบังคับตัวเองให้สงบลง
เธอกัดริมฝีปากล่าง แล้วพูดเสียงเบาว่า “นายเย่ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบเดิมอีก ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ พวกเรามาคุยเรื่องงานกันอย่างจริงจังดีไหมค่ะ”
“คุยเรื่องงานเหรอ” เย่โม่เซินยิ้มเสียงทุ้มต่ำ “ดีครับ คุยสิครับ”
ตอนแรกหานมู่จื่อคิดว่าเขายอมจะลุกขึ้น แต่ใครจะไปรู้ว่าพอเขาพูดประโยคนี้จบ หลังจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย เขายังคงกดเธออยู่และไม่ปล่อยให้เธอเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
หานมู่จื่อยื่นมือออกไปและผลักอย่างแรง แต่คนที่กดร่างกายของเธอนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด
“ ……นายเย่คุณล้อเล่นกับฉันเหรอ” ในที่สุดสายตาของหานมู่จื่อก็เย็นลง
สายตาของเย่โม่เซินก็หนักอึ้งลงเล็กน้อย เขาก้มลงเพื่อให้ศีรษะอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่นิ้ว “คุณคิดว่าผมดูเหมือนล้อเล่นหรือไง”
อุณหภูมิทั้งตัวที่ออกมาจากตัวของเขาทำให้อากาศโดยรอบลดต่ำเย็นลง และทำให้ทั้งห้องทำงานหนาวเย็นราวกับหิมะที่ปกคลุมไปทั่วเฉกเช่นฤดูหนาวในช่วงเดือนธันวาคม
ก๊อก ก๊อก —-
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างพอดิบพอดี
หานมู่จื่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มีคนมา”
“ไม่มีคำสั่งของผม เขาไม่สามารถเข้า……”
พูดยังไม่ทันจบ ประตูห้องทำงานก็โดนคนเปิดออก ผู้ถือหุ้นสองคนที่เคยโต้เถียงกันมาก่อนก็เดินหน้าเขียวเข้ามาพร้อมกัน
“พวกเรามาหาประธานเย่เพื่อที่จะดูว่าเรื่องนี้ท่านประธานจะทำอย่างไร ถึงอย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาแน่”
“ดีครับ งั้นไปถามประธานเย่ว่าเขาคิดยังไง ผมไม่เชื่อหรอกว่า ประธานเย่จะไม่ฟังคุณ”
ผลปรากฏว่าทั้งสองคนเดินอย่างมาดมั่นเข้าไปข้างใน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้พวกเขาหยุดเดินเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโซฟา พร้อมกับลืมตาอ้าปากด้วยความไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
หานมู่จื่อกัดฟัน “ไหนคุณบอกว่าจะไม่เข้ามาไง”
มุมปากของเย่โม่เซินอดไม่ได้ที่จะกระตุก ชายแก่สองคนที่รนหาที่ตาย
ดวงตาอันเย้ายวนกะพริบไปอย่างรวดเร็ว ริมปากของเย่โม่เซินยิ้มเล็กน้อย
“รอผมสักครู่”
พูดจบ เขาก็จับหลังของหานมู่จื่อด้วยมือใหญ่ ดันตัวของเธอขึ้นและดึงเธอไปที่ด้านหลังของเขาด้วยความเร็ว เร็วมากจนชายแก่ทั้งสองยังไม่ทันเห็นใบหน้าของหานมู่จื่อ
“ประ ประธานเย่” หนึ่งในนั้นรู้สึกอึดอัดวางตัวไม่ถูกและดึงเคราจากมุมปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ส่วนอีกคนก็ยิ้มให้ “โอ้ นึกไม่ถึงว่าประธานเย่ของเรา…”
“ไสหัวออกไป” แต่ทว่าในวินาทีถัดมา ใบหน้าที่แสดงออกของทั้งสองกลับแข็งกระด้างขึ้น เพราะเย่โม่เซินจู่ๆ ก็เอ่ยปากอย่างไร้ความปรานีเพื่อไล่พวกเขาออกไป
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป คนที่ยิ้มในตอนนั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “โม่เซิน ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นถึงประธานเย่ แต่คุณก็ไม่ควรดูถูกผู้อาวุโส คุณหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าไสหัวออกไป”
แม้ว่าอีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดเกินจริง แต่กลับก้าวไปข้างหน้าและรั้งเขาไว้ “พวกเราขัดจังหวะเรื่องดีของประธานเย่ แน่นอนว่าเขาไม่ยินดีด้วยหรอก แม้ว่าจะให้พวกเราไสหัวออกไปมันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นา”
“แกพูดว่าอะไรนะ”
“ฉันหมายความว่า พวกเราควรไสหัวออกไปได้แล้ว”
“แก แก แก แกไม่เห็นด้วยกับฉันในที่ทำงานก็แล้วไป คาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้แกก็ยัง……”
“พอเถอะ ไอ้แก่ รบกวนคนหนุ่มสาว ยังไม่รีบไปอีก ดูสายตาที่จะสังหารของประธานเย่สิ จุ๊จุ๊……”
ทั้งสองคนนั้น อยู่ในสายตาที่สามารถฆ่าคนได้ของเย่โม่เซินจริงๆ ต่างก็ครึ่งดึงครึ่งผลักกันออกจากห้องทำงาน
สายตาของเย่โม่เซินยังคงเย็นชา พื้นที่ที่ควรเป็นของคนสองคนก็โดนขัดจังหวะขึ้นมาฉับพลัน ในใจของเขาก็ไม่ยินดีเป็นธรรมดา
ปัง
ประตูห้องทำงานปิดลงอีกครั้ง เย่โม่เซินไล่ริมฝีปากบางแล้วหันกลับมา
แต่กลับพบว่าหานมู่จื่ออยู่ห่างจากเขาไปมาก เธอยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของโซฟาแล้วคอยจัดแจงความเรียบร้อยเสื้อผ้าของเธอ เพราะเมื่อสักครู่นี้เธอถูกกดลงบนโซฟา ดังนั้นผมและเสื้อผ้าของเธอจึงไม่เป็นระเบียบ หานมู่จื่อจึงจัดความเรียบร้อยอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นเพื่อรวบผมสองสามเส้นที่กระจัดกระจายอยู่ข้างแก้มของเธอไปที่ด้านหลังศีรษะ
ในทุกท่วงท่าการกระทำอันมีเสน่ห์ที่ส่งออกมานั้น ทำให้เย่โม่เซินไม่อาจละสายตาได้
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้สวยเมื่อห้าปีก่อน แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
เย่โม่เซินยังกับราวถูกปีศาจเข้าสิง ให้มองดูอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่ง
หานมู่จื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและหันกลับมามองเขา
“นายเย่ตอนนี้พวกเราคุยเรื่องงานกันได้หรือยัง”
ลิ้นของเย่โม่เซินดันเข้ากับขากรรไกร ไม่ได้จูบเธอ รู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร อย่างไรก็ตาม ทุกเรื่องล้วนต้องการความเหมาะสม วันหน้ายังอีกยาวไกล เขามีเวลาที่จะเข้าไปครอบครองโลกของเธออยู่
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เย่โม่เซินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง “แน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้น หานมู่จื่อกับเดินไปที่ประตู การกระทำนี้ทำให้เย่โม่เซินขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นหานมู่จื่อเปิดประตูห้องทำงานและกลับเดินมา เย่โม่เซินก็หัวเราะเยาะทันที “จำเป็นต้องกลัวผมขนาดนี้เลยหรือ หรือกลัวผมจะจับกินคุณครับ”
เพราะคำพูดของเขา การกระทำของหานมู่จื่อ สีหน้าของเธอกลับไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ในใจกลับมีคำด่าหมื่นคำได้ หรือว่าเขาจะจับกินไม่ได้
เมื่อสักครู่ที่จับเธอกดลงบนโซฟาสายตาและท่าทางก็เหมือนเช่นสัตว์ร้าย
นี่อาจเป็นวิธีที่เขาทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าก็ได้
หานมู่จื่อนำเอกสารที่เตรียมมาอย่างเรียบร้อยออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ
“พวกเราเริ่มกันได้เลย”
เย่โม่เซินก้าวขาที่ยาวของเขาเดินตรงไปนั่งลงที่โซฟาตรงหน้าเธอ
“เกี่ยวกับการออกแบบในครั้งนี้ นายเย่วางแผนไว้จะออกแบบเสื้อผ้าให้ตัวคุณเองหรือออกแบบให้กับคนในครอบครัวค่ะ”
ได้ฟังแล้ว เย่โม่เซินก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว “คนในครอบครัว มู่จื่อสนใจในสถานะครอบครัวของผมมากขนาดนั้นเชียว”
หานมู่จื่อ “……”
ครู่ต่อมาเธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายเย่เข้าใจฉันผิดแล้วค่ะ ในฐานะนักออกแบบของคุณ ฉันมีสิทธิ์ที่จะทราบความต้องการของคุณในขณะนี้ อีกอย่างหนึ่งช่วยเรียนฉันว่าShellyด้วยค่ะ”
เย่โม่เซิน “โอ้ มู่จื่อนั้นไม่ใช่ชื่อของคุณหรือ”
มู่จื่อเป็นชื่อของเธอก็จริง เป็นชื่อที่ครอบครัวหานตั้งให้เธอ หลังจากที่เธอบอกลาชื่อเสิ่นเฉียวเมื่อห้าปีก่อน
ฟังที่หานชิงบอกมา ชื่อนี้ถูกคนในครอบครัวหานร่วมแรงร่วมใจกันตั้งให้ มีความหมายที่พิเศษ
สำหรับหานมู่จื่อนั้น ชื่อนี้นอกเหนือจากที่ได้รับจากครอบครัวแล้ว ยังแสดงถึงการเกิดใหม่และการนิพพาน
มันเป็นการเกิดใหม่ของเธอคนเดียว
เธอไม่ใช่เสิ่นเฉียวในอดีตอีกต่อไปแล้ว และจะไม่ตายใจกับเย่โม่เซินอีก
“ในตอนทำงาน ฉันอยากให้ลูกค้าเรียกฉันว่าShelly ขอบคุณค่ะ”