บทที่418 ปรงไม่สามารถออกดอก
หลังจากหานมู่จื่อกลับมาถึงบริษัท ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน
เพราะว่าวันนี้เธอเปลืองเวลากับข้างนอกไปเยอะ หลังเลิกงานแล้วเธอไม่ได้ขับรถ ตั้งใจจะเรียกรถกลับกับเสี่ยวเหยียนสองคน
แถมเสี่ยวเหยียนเมื่อได้ยินเรื่องที่เธอขับรถชนท้ายเบิกตากว้างในทันที “ชนท้าย? เธอไปทำยังไง?”
หานมู่จื่อปวดหัวนิดๆ หัวเราะแห้ง: “คิดว่าน่าจะยังไม่คล่อง”
“ไม่คล่องกับผีสิ เธอคิดว่าฉันพึ่งรู้จักเธอวันนี้เหรอ? เธอขับรถระวังจะตายต้องมีเรื่องอะไรกวนใจเธอแน่”
ฟังจบ หานมู่จื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้จะพูดอย่างไร เสี่ยวเหยียนรู้จักเธอดี
มิตรภาพห้าปีทำให้พวกเธอรู้จักนิสัยและทักษะกันเป็นอย่างดี
หานมู่จื่อที่ไม่มีทางหายตัวหนีได้ ทำได้แค่หัวเราะแห้ง
“เธอบอกฉันมาตามความจริง หรือไอ้เย่โม่เซินนั่นทำอะไรเธอหรือเปล่า?”
พูดถึงเย่โม่เซิน หานมู่จื่อยิ่งนึกถึงที่เขาพูดกับเธอเมื่อตอนบ่าย เขาบอกว่าแต่งงานแล้ว แต่ทำไมเขาถึงท่าทางแปลกๆ กับเธอ จนกระทั่ง…..
“ไม่มี” คิดถึงตรงนี้ เธอปฏิเสธทันที
“ไม่มี? แล้วทำไมเธอถึงขับรถไปชนท้ายได้?”
“ตอนนั้น…..ฉันมัวคิดถึงเรื่องแบบน่ะ หลินซิงหั่วจะเข้าร่วมงานแถลงข่าวในอีกไม่กี่วันนี้ใช่ไหม?”
หานมู่จื่อรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และเสี่ยวเหยียนเด็กโง่คนนี้ ได้ยินหานมู่จื่อพูดถึงเรื่องงานแถลงข่าวของซิงหั่ว นัยน์ตาสองข้างเป็นประกายวิบวับทันที “ใช่ ชุดก็ใกล้เสร็จแล้ว ถึงเวลาทางนั้นจะส่งชุดมาให้ที่บริษัทพวกเรา แล้วพวกเราค่อยส่งให้หลินซิงหั่ว มู่จื่อ นี่คือผลงานการออกแบบชิ้นแรกของบริษัทพวกเรา”
“ใช่แล้ว ผลงานออกแบบชิ้นแรก มีมูลค่ามากให้เก็บรักษาไว้ จำไว้ว่าถึงเวลาให้ทำเครื่องหมายชื่อคนออกแบบว่าเลิงเยาเยา แล้วค่อยถ่ายภาพเก็บไว้ให้เธอ”
ฟังจบ เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะเบะปาก “แม้ว่าผลงานจะเป็นการออกแบบของเธอ แต่ว่าได้เธอช่วยชี้แนะ อีกอย่างเธอตอนนี้อยู่ภายใต้บริษัทเรา เขียนชื่อเธอได้แต่ต้องเพิ่มคำนำหน้าด้วย”
หานมู่จื่อหัวเราะอย่างจนใจ “เธอทำไมคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้?”
“เหอะ คิดเล็กคิดน้อยที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่าเอาเกียรติยศให้กับบริษัทพวกเรา!”
“ก็ได้ ถึงเวลาค่อยเรียกเลิงเยาเยามาคุย”
“อืม”
สองคนคุยไปเดินขึ้นรถประจำทางไป
หานมู่จื่อไม่ได้เบียดบนรถประจำทางมาหลายปีแล้ว ให้เธอพูด สวมรองเท้าส้นสูงขึ้นรถประจำทางนั้นไม่สะดวกจริงเลย โดยเฉพาะรุ่นที่ส้นสูงปรี๊ดนี่
ดังนั้นหานมู่จื่อและเสี่ยวเหยียนเมื่อกลับถึงตระกูลหานแล้ว สภาพของทั้งสองคนจึงดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
ทั้งสองคนต่างมองอีกฝ่ายแล้วสบตากันหัวเราะออกมา
*
วันที่สองเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี ดังนั้นหานมู่จื่อนอนหลับยาว
หายากที่จะอากาศดี แถมเธอยังมีเวลาว่าง ดังนั้นหานมู่จื่อตั้งใจจะพาเสี่ยวหมี่โต้วไปดูโรงเรียนนั้นสักหน่อย ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วชอบละก็ให้เขาลองไปปรับตัวกับที่นั่นสักหนึ่งสัปดาห์ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร
“หม่ามี๊หม่ามี๊ ผมวันนี้ต้องไปโรงเรียนจริงเหรอ?”
“ใช่แล้ว” ตอนที่หานมู่จื่อที่จัดแจงเสื้อผ้าให้เสี่ยวหมี่โต้ว เสี่ยวหมี่โต้วทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นถาม
“แล้ววันนี้หม่ามี๊คงไม่ทิ้งผมไว้ที่โรงเรียนใช่ไหม?” พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวหมี่โต้วแสดงท่าทางน่าสงสารกอดแขนของหานมู่จื่อ ใบหน้าเศร้าสร้อย
ฟังจบ หานมู่จื่อนิ่งอึ้งไป หัวเราะเสียงเบาทันที “ไม่หรอก วันนี้พาหนูไปดูว่าชอบหรือไม่ชอบโรงเรียนนั้น ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วชอบ ก็ไปเรียนสัปดาห์หนึ่งให้คุ้นเคยก่อน ดีหรือเปล่า?”
เสี่ยวหมี่โต้วแสดงชัดว่าไม่อยากไป ความรู้ในโรงเรียนอนุบาลพวกนั้น เขาเรียนรู้เองหมดแล้ว แม้แต่เสี่ยวหมี่โต้วเองยังรู้สึกว่าเขาไม่ต้องไปโรงเรียนก็ได้
อย่างไรก็ตามนี่เป็นความลับของเสี่ยวหมี่โต้วคนเดียว หานมู่จื่อที่ไม่รู้แน่ชัด มองเขาที่กอดแขนตัวเองยังคิดว่าเขาแค่ไม่อยากห่างจากตัวเอง จำต้องจูงมือเขาเดินออกไป พลางพูด “หนู อย่าคิดมาก โรงเรียนนี้อยู่ใกล้บริษัทของหม่ามี๊มาก ถึงเวลา…..หม่ามี๊เลิกงานแล้วขับรถไปรับหนู แล้วพวกเราค่อยกลับบ้านด้วยกัน”
“อือ ก็ได้ครับ”
ได้ยินว่าทั้งสองคนจะไปดูโรงเรียน เสี่ยวเหยียนก็นั่งไม่ติด อาสาสมัครเองว่าจะไปด้วย พอดีกับหานชิงที่ว่างอยู่พอดี ก็เลยเป็นการเดินทางของสี่คน
หานชิงขับรถเพียงคนเดียว อีกสามคนนั่งด้านหลัง
ผู้ใหญ่สอง เด็กหนึ่ง
เสี่ยวเหยียนเหมือนนั่งอยู่บนเบาะเข็ม อย่างไรเสียเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เธอยังมีความพะวงในใจตลอดเวลา เธอไม่รู้ว่าหานชิงยังจำได้ไหม อีกฝ่ายอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ แต่เธอเองไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองที่ทำตัวเหมือนหมูในวันนั้น
ขายหน้ามาก
หายากที่เธอจะเงียบขนาดนี้ หานมู่จื่ออดไม่ไหวที่จะหัวเราะ “ทำไมไม่พูดอะไรเลย?”
เสี่ยวเหยียน: “……”
เธอมองค้อนหานมู่จื่อ รู้ทั้งรู้เธอประดักประเดิด เธอยังจะพูด?
หานมู่จื่อกลั้นขำ เธอแค่ถามไปงั้นเอง ใครจะรู้วินาทีต่อมาอยู่ๆ เสี่ยวหมี่โต้วก็พูดว่า: “น้าเสี่ยวเหยียน ทำไมน้าถึงกลัวลุงผมขนาดนี้?”
เสี่ยวเหยียนสีหน้าแข็งค้างไปครู่หนึ่ง
แม่ลูกคู่นี้จะฝังเธอให้ตายเลยใช่ไหม? คิดว่าเธอไม่มีตัวตนไม่ได้เหรอ คิดว่าเธอไม่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เหรอ?
“กลัวผม?” หานซิงที่ถูกเสี่ยวหมี่โต้วพูดถึง อดไม่ได้ที่จะมองเสี่ยวเหยียนผ่านกระจกมองหลัง
รู้สึกได้ถึงสายตาเขาที่มองมาที่ตัวเอง เสี่ยวเหยียนใจเต้น นั่งหลังตรง ใบหน้าแสดงรอยยิ้มประดักประเดิด
“ไม่มีอะไร!” เสี่ยวเหยียนมุมปากกระตุกแก้ต่างให้ตัวเอง “ฉันแค่เมื่อคืนนอนไม่พอแค่นั้นเอง ฮะฮะ…..”
แกล้งหัวเราะจบ เสี่ยวเหยียนเอื้อมมือไปสะกิดตูดเสี่ยวหมี่โต้ว กดเสียงต่ำลอดไรฟัน
“เด็กขี้เหร่ นายจะฝังฉันให้ตายเลยเหรอ?”
“น้าเสี่ยวเหยียน น้าจิ้มตูดผมทำไม?” เสี่ยวหมี่โต้วเบิกตากว้าง ดูไร้เดียงสา
เสี่ยวเหยียน: “……”
หานซิงทนไม่ไหวเหลือบมองกระจกมองหลังอีกครั้ง
สุดท้ายแล้วเสี่ยวเหยียนก็ทำได้เพียงสบตาหานมู่จื่ออย่างขอความช่วยเหลือ หานมู่จื่อยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นลากสายตาออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่เห็นอะไร
แม้เสี่ยวหมี่โต้วจะยังเป็นเด็กเล็ก แต่หนูน้อยคนนี้นั้นฉลาด ยังช่วยดึงความสัมพันธ์ให้เสี่ยวเหยียนกับหานซิง
ถ้าหากว่าให้เสี่ยวเหยียนเป็นพี่สะใภ้เธอแล้วละก็ ดูแล้ว…..ก็ดูเข้าท่าอยู่เหมือนกัน?
“ฉันที่ไหน? เธอเข้าใจผิดหรือเปล่า? เป็นมู่จื่อจิ้มเธอต่างหาก” สุดท้าย เสี่ยวเหยียนก็โยนหม้อลงบนหัวหานมู่จื่อ
หานมู่จื่อกลั้นหัวเราะทันที “ใช่ฉันเหรอ? งั้นก็เป็นฉันแหละ?”
เสี่ยวเหยียนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไป
นี่เทียบกับหานมู่จื่อปฏิเสธไปยังน่าอายซะกว่า ถ้าเธอปฏิเสธไปเลยเธอยังแค้นได้ แต่หานมู่จื่อยอมรับด้วยสีหน้าน้ำเสียงไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับว่าก็ช่วยไม่ได้
ด้านหน้าหานซิงไม่ส่งเสียง และไม่ได้มองไปด้านหลังอีก เสี่ยวเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ในใจรู้สึกหงอยเหงานิดหน่อย
ผู้ชายที่โสดอยู่คนเดียวมาหลายปี ก็เหมือนกับปรง
อยากให้ปรงออกดอก ไม่ง่ายเลย…..
เฮ้อ หมายปองเทพบุตรว่าแล้วก็ได้แค่คิด ไม่มีทางเป็นของเธอ
เพียงแต่ว่า หานซิงจนถึงตอนนี้ก็ยังโสด ทำให้เสี่ยวเหยียนเริ่มกลับมาคิดหวังอีกครั้ง