บทที่ 43 คนแทรกกลางไม่ใช่คน
“ฉันแค่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการนิดหน่อยเลยต้องออกไปก็เท่านั้น”ถึงจังหวะสำคัญเสิ่นเฉียวถึงบอกตัวเองว่าห้ามพูดออกไป!นั่นเป็นคำสั่งของนายท่านเย่ ถ้าเธอพูดออกไปก็เท่ากับว่าขายนายท่านเย่นี่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองหลานปู่แย่ลงไปกว่าเดิม
คิดถึงจุดนี้ เสิ่นเฉียวก็ปิดปากเงียบ ปฏิเสธไป
“หึ”เย่โม่เซินหรี่ตาลงอย่างอันตรายและจ้องไปที่เธอ:“ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย พูด!”
น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกและไร้ซึ่งอารมณ์ใด พร้อมทั้งความยำเกรงที่มหาศาล เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากแน่น:“แค่ไปซื้อของนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ อีกอย่าง เงินเดือนก็ถูกหักไปหนึ่งเดือนแล้ว และฉันก็ไม่ได้คัดค้านอะไรคุณชายเย่คงรู้แล้วนะคะว่าฉันไปทำอะไรมา?”
เย่โม่เซินนิ่งไป สายตายาวแคบจ้องไปที่เธออย่างอันตราย:“พูดใหม่อีกทีซิ”
เสิ่นเฉียวกำมือถือไว้แน่นแล้วถอยไปอีกทาง ถอยไปพูดไปว่า:“ฉันไม่พูด!”
เย่โม่เซินคิ้วขมวดขึ้นเป็นปม:“จะไปไหน?”
“ไปให้ไกลจากคุณ!”
พูดจบ เสิ่นเฉียวก็หันหลังวิ่งออกไปข้างนอก
เธอวิ่งออกจากห้องไปอย่างไว เตรียมจะไปหาสาวใช้คนที่เจอกันเมื่อก่อนหน้านี้ เดินไปหันหลังไปมองไป พอเห็นว่าเย่โม่เซินไม่ได้ตามมา เสิ่นเฉียวจึงถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นหานเส่โยวส่งข้อมูลมา
หานเส่โยว:ออกมาแล้วนะจ๊ะ รอข่าวดีจากฉันได้เลย
ดูเหมือนว่าเส่โยวน่าจะไปตามเอากระดุมมาได้ เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าเธอไม่ต้องกังวลขนาดนั้นแล้ว
เธอยืนนิ่งมองออกไปข้างนอกอยู่สักพัก รอคอยสายโทรศัพท์จากหานเส่โยว
รออยู่นานสองนาน หานเส่โยวจึงโทรหาเธอ“เรียบร้อยแล้ว เธอสบายใจได้แล้วนะ”
เสิ่นเฉียวตื่นเต้นเล็กน้อย ถามอย่างแผ่วเบาว่า:“ได้ของมาแล้วใช่มั้ย?”
“ได้มาแล้ว อยู่ในมือฉันแล้วตอนนี้ ต้องถ่ายรูปให้เธอดูด้วยมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอก แค่เธอเอามาได้ก็พอแล้ว แต่ว่า……พวกเธอทำได้ยังไงกัน?ถูกจับได้หรือเปล่า?”
“วางใจเถอะน่า ฉันจัดการให้แล้วเธอยังไม่สบายใจอีก?เฉียวเฉียว เธอไปพักผ่อนได้อย่างสบายใจได้เลย จริงสิ พอถึงเวลาถ้ามีคนอื่นถามเธอ เธอควรรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง?ก็เอาแบบนี้ไปก่อน ฉันมีธุระอื่นอีกวางสายก่อนนะจุ๊บๆ!”
พูดจบ เสียงวางสายโทรศัพท์ของหานเส่โยวก็ดังขึ้น เสิ่นเฉียวยืนอึ้งอยู่กับที่เล็กน้อย เส่โยวทำเรื่องต่างๆอย่างรอบคอบเสมอ เธอคิดว่าเรื่องนี้ก็น่าจะจบไปแบบนี้?
ในขณะที่กำลังพินิจพิจารณาอยู่นั้น สาวใช้คนที่ทำความสะอาดห้องคนนั้นก็วิ่งหายใจหอบมาหา
“คุณนายน้อยสอง”
พอเห็นเธอ เสิ่นเฉียวก็เก็บโทรศัพท์ และทำหน้านิ่ง
“มีอะไร?”
สีหน้าของสาวใช้ตื่นตระหนกมาก กัดริมฝีปากแน่น:“คุณนายน้อยสอง ดิฉัน……ขอโทษด้วยค่ะ!เสี่ยวหยู่เธอเพิ่งมาบอกฉันว่า หล่อนไม่ระมัดระวังทำกระดุมเม็ดนั้นหล่นหายไปแล้วค่ะ”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็ขมวดคิ้วขึ้นมา:“หมายความว่ายังไง?กระดุมหายไปแล้วเหรอ?”
“ระหว่างทางตอนที่เธอซื้อของเสร็จกลับมา ไม่ทันระวังขับรถไปชนกับคนอื่นเข้าค่ะ กระดุมก็เลยหล่นหาย แต่พอกลับมาหา ก็หากระดุมเม็ดนั้นไม่เจอแล้วค่ะ……”
รถชน……
เสิ่นเฉียวหนังตากระตุกรัวๆ ทันใดนั้นก็เดินหน้าขึ้นไป:“รถชนเหรอ?ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ย?”
สาวใช้ตกใจกลัว พูดติดๆขัดๆ:“ไม่ ไม่มีค่ะ แค่ของหล่นหายไปเท่านั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บค่ะ”
ได้ฟังแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็ถอนหายใจออกมา
หานเส่โยวนี่ชอบทำให้เธอตกอกตกใจจริงๆ แม้แต่รถชนเรื่องแบบนี้ก็ทำกันได้ โหดร้ายป่าเถื่อนกันจริงๆ!
“คุณนายน้อยสอง เสี่ยวหยู่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ว่ากระดุมของคุณหล่นหายไปแล้ว จะทำยังไงดีคะ……”สาวใช้ยังจำคนที่หนีไปก่อนหน้านี้ได้ ได้ยินว่าเป็นเพราะเธอทำนมหกใส่ตัวคุณนายน้อยสองเลยถูกไล่ออก ก่อนที่เธอจะไปยังพูดว่าร้ายเสิ่นเฉียวไว้มากมาย แค่ทุกคนเดาดูก็พอจะรู้แล้ว
ดังนั้นตอนนี้ในสายตาของสาวใช้คุณนายน้อยสองคนนี้ที่แต่งเข้ามาใหม่นั้น มีการใช้กำลังมากพอแล้ว
“ช่างมัน”เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานแสนนาน ก่อนจะพูดใหม่ด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนออกมา:“แค่กระดุมเม็ดเดียวเท่านั้น ในเมื่อหาไม่เจอ งั้นฉันก็จะทำเป็นว่าไม่เคยเจอมันมาก่อนก็แล้วกัน”
“แต่ว่า……กระดุมเม็ดนั้นสำคัญกับคุณมากไม่ใช่เหรอคะ?”
“ที่จริงมันก็สำคัญมากนั่นล่ะ แต่ความปลอดภัยของพวกเธอก็สำคัญเหมือนกัน เพื่อจะหากระดุมเม็ดนี้ฉันไม่อาจทำให้พวกเธอลำบากหรอกนะ? หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร แค่หลังจากนี้พวกเธอไม่พูดถึงเรื่องกระดุมเม็ดนี้ก็พอ ไม่อย่างนั้น……ฉันก็จะกลับมาคิดถึงมันอีก”
สาวใช้รับทราบและพยักหน้าต่อเนื่อง “คุณนายน้อยสองวางใจได้เลยค่ะ ฉันจะไม่พูดถึงมันอีกแล้วฉันจะบอกกับเสี่ยวหยู่ไว้ด้วยคุณนายน้อยสองแค่คุณไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราแค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะ ขอบคุณจริงๆ!”
“งั้นฉันไปก่อนละ”
วันที่สอง
เสิ่นเฉียวถูกเรียกตัวไปที่ห้องหนังสือของนายท่านเย่แต่เช้าตรู่
“เรื่องเมื่อวานที่ให้เธอไปทำเธอทำถึงไหนแล้ว?”
ริมฝีปากของเสิ่นเฉียวเริ่มขยับ:“หลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินว่าฉันเป็นคนของตระกูลเย่ ก็ปฏิเสธที่จะพูดคุยด้วยค่ะ”
ได้ยินดังนั้น นายท่านเย่ก็คิ้วขมวด:“ทำอะไรของมัน ลู่สุนฉางมันไม่อยากทำข้อตกลงกับตระกูลเย่แล้วหรือ?”
เสิ่นเฉียวไม่ตอบ ขณะที่นายท่านเย่กำลังไตร่ตรองนั้น:“ต้องเป็นเพราะตระกูลเย่ไม่อยากทำข้อตกลงกับตระกูลลู่ ฉะนั้นทางฝั่งของตระกูลลู่จึงมีความเห็นอื่น เสิ่นโย่ว เธอเอาของขวัญนี้ไปส่งให้นายน้อยของตระกูลลู่ บอกเขาว่าเย่โม่เซินไม่ได้เป็นคนตัดสินใจหลักของตระกูลเย่”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็กัดริมฝีปากแน่น และไม่พูดอะไรต่อ
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย?”
เสียงของนายท่านเย่เปลี่ยนไปในทันใด ทำเอาเสิ่นเฉียวสะดุ้งตกใจกลัว เธอโต้ตอบทันที และพยักหน้าให้
“เข้าใจแล้วค่ะนายท่าน”
เพราะมีบทเรียนจากครั้งก่อน ดังนั้นวันนี้เสิ่นเฉียวจึงไม่กล้าขอลาออกไปข้างนอกแล้ว กลัวว่าออกไปหนึ่งครั้งตัวเองจะโดนหักเงินเดือนมากกว่าหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นเธอคงจะกลายเป็นยาจกจริงๆแล้ว
ด้วยเหตุนี้เสิ่นเฉียวจึงไปหาเย่โม่เซินในออฟฟิศเพื่อขออนุญาต
ใครจะรู้ว่าเย่โม่เซินไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้นมามองเธอ ก็ตอบปฏิเสธเธอไปแล้ว
“ไม่อนุญาต”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็ไม่เข้าใจ:“ไม่อนุญาต?ทำไมคะ?”
เย่โม่เซินไม่แม้แต่จะสนใจ สายตาจับจ้องไปบนเอกสาร เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะตอบเธอ
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากแล้วก้าวไปข้างหน้าสองก้าว:“คุณชายเย่ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปทำจริงๆนะคะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่อนุญาต”
“เหตุผลล่ะคะ?”
“ออกไป!”
“เย่โม่เซิน!”
ปัง!
เย่โม่เซินโมโห วางเอกสารในมือลง ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะ เสียงที่กระทบดังขึ้นมา
บางอย่างที่พิเศษปรากฏขึ้นมาในห้องทำงานที่เงียบสงบ
ด้วยเหตุนี้คำพูดที่อยู่ตรงปากของเสิ่นเฉียวก็หยุดลงไปแบบนั้น สายตาของทั้งคู่สบกันภายในห้องที่ว่างเปล่านั้น
สุดท้าย เสิ่นเฉียวต้องยอมประนีประนอมไปอย่างจำใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทำงาน
หลังจากออกมาจากห้องทำงาน เสิ่นเฉียวโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ปู่หลานสองคนนี้ทำให้เธออารมณ์เสียมากจริงๆ อยู่ตรงกลางระหว่างของทั้งสองคนแทบจะทำให้เธอเป็นบ้า
แล้วตอนนี้จะทำยังไง?เสิ่นเฉียวกลุ้มใจจนแทบร้องขอชีวิต ต้องส่งของขวัญตามที่นายท่านบอก?แต่เธอเหลือเงินเก็บอีกไม่เท่าไหร่แล้ว แถมอีกฝ่ายยังเป็นถึงประธานของตระกูลลู่ ของที่จะให้ต้องไม่น่าดูชมแน่ๆ
ถ้าไม่ส่งไปให้ ตอนเย็นกลับบ้านไปคงไม่มีหน้าไปเจอนายท่าน
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวหัวแทบระเบิด
คิดแล้วคิดอีก เสิ่นเฉียวก็ลุกขึ้นไปที่ห้องทำงานอีกครั้ง
ครั้งนี้เพิ่งจะเคาะประตู เสียงตะคอกของเย่โม่เซินก็ดังลอยมา
“ไปให้พ้น!”
แล้วก็ล้มเหลวลงอีกครั้ง!
พอกันที หมดทางแล้ว เสิ่นเฉียวทำได้แค่รอหลังเลิกงานแล้วค่อยไปวัดดวงเอาที่บริษัทตระกูลลู่แล้ว
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เสิ่นเฉียวก็ไม่ได้ไปรบกวนเย่โม่เซินอีก
ไม่ง่ายเลยที่จะรอจนเลิกงาน เสิ่นเฉียวเก็บของเสร็จก็รีบเร่งออกจากบริษัท จากนั้นก็นั่งรถเมล์ไปที่บริษัทตระกูลลู่ แบบแทบจะต้องแข่งกับเวลา
“คุณชายเย่ผู้ช่วยเสิ่นเพิ่งเลิกงานก็ออกไปทันทีเลยค่ะ”