บทที่ 423 ความคิดที่น่ากลัว
หลังจากนั้นหานมู่จื่อก็ได้รีบเร่งไปถึงโรงเรียน เพื่ออยู่เป็นเพื่อนด้วยกันกับเสี่ยวหมี่โต้วในการเยี่ยมชมโรงเรียนทั้งโรงเรียน หลังจากนั้นไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็ได้ออกไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน รอจนการกินข้าวเที่ยงผ่านไปแล้ว ก็ได้เป็นเวลาบ่ายสองบ่ายสามโมงแล้ว
เสี่ยวหมี่โต้วมีความเคยชินในการนอนเที่ยง ดังนั้นเวลานี้จึงได้โพล้เพล้รู้สึกง่วงแขวนห้อยอยู่บนตัวของหานมู่จื่อ มือหนึ่งได้อุ้มคอของเขาเอาไว้ อีกด้านหนึ่งก็ได้พูดด้วยความมึนหัว: “แม่จ๋า พวกเราต้องกลับบ้านไปนอนไหมล่ะ?”
เมื่อถูกเขาพูดเช่นนี้หานมู่จื่อก็รู้สึกว่ามีความง่วงอยู่หน่อย ด้วยเหตุนี้จึงอดไม่ไหวหาวออกมาแล้ว
“ได้ พวกเรากลับบ้านนอนเที่ยง”
ด้วยเหตุนี้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ได้นั่งอยู่บนรถที่กำลังจะกลับตามทาง
“เธอคิดว่าโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง? ยังชอบไหม?” อยู่บนทางที่กำลังกลับไป หานมู่จื่อก็ได้พูดถามเบาๆ
เสี่ยวหมี่โต้วได้พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง: “ชอบ”
“ถ้าเช่นนั้นนายเต็มใจที่จะเรียนหนังสือที่นี่ไหม?”
เสี่ยวหมี่โต้วรู้สึกว่าที่จริงเดิมทีตัวเองก็ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ แต่คือแม่จ๋าหวังให้เขาไปใช้ชีวิตแบบส่วนรวมร่วมกัน ดังนั้นตอนนี้เขาก็คือต้องการหาที่ที่ห่างจากบริษัทของแม่จ๋าใกล้หน่อย จึงได้พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
“เต็มใจ”
เมื่อได้ยินถึงคำพูดหานมู่จื่อจึงอดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มของความปลื้มอกปลื้มใจออกมา: “เสี่ยวหมี่โต้วเต็มใจก็ดี ดูแล้วโรงเรียนที่แม่จ๋าหาให้นายยังคงไม่เลว”
จางเสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านหนึ่งได้มองท่าทางที่เชื่อฟังของเสี่ยวหมี่โต้วไว้ จากนั้นในใจจึงอดที่จะทอดถอนใจไม่ไหว
เสี่ยวหมี่โต้วเมื่ออยู่ตรงหน้าของหานมู่จื่อช่างเชื่อฟังจริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโตแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเอ่ยคำร้องขออะไรที่เลยเถิดเกินขอบเขต สำหรับมู่จื่อแต่ไหนแต่ไรมาก็คือมีการร้องขอมาก็ตอบสนองให้ แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กห้าขวบคนหนึ่ง แต่กลับก็ไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ธรรมดา
ความคิดของเขาเมื่อเทียบกับเด็กห้าขวบก็ยังเป็นผู้ใหญ่มากกว่า อีกทั้งหัวก็ยังฉลาดมาก
มีบางครั้งที่จางเสี่ยวเหยียนมักจะคิดว่า จะเป็นเพราะว่าเหตุผลที่ก็ไม่มีพ่อที่รักและเอ็นดูไว้มาตั้งแต่เด็กหรือไม่ ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วถึงได้กลายเป็นนิสัยแบบนี้
มีหลายครั้งที่หานมู่จื่อก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าเวลาส่วนมาก เธอก็ยังคงสนับสนุนประคับประคองทุกสิ่งไว้โดยลำพังแล้ว
จางเสี่ยวเหยียนยังคงรักและสงสารแม่ลูกคู่นี้เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าในเวลาเดียวกันของความรักและสงสารก็ได้มีความปีติยินดีอย่างไม่มีเหตุผล
ปีติยินดีที่มู่จื่อมีพี่ชายคนหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะไม่มีพ่อที่รัก แต่เขาก็ได้รับความรักของแม่แล้ว ยังมีความรักของลุง อืม หลังจากนั้นความรักของเธอที่เป็นน้าคนนี้ก็ฝืนใจนับว่าเป็นส่วนหนึ่งเถอะ
เวลาหนึ่ง คนในรถก็มีความคิดที่แต่งต่างกันออกไป
รอจนถึงตอนที่ถึงที่หมาย เสี่ยวหมี่โต้วก็ได้นอนหลับอยู่ในอ้อมอกของเธอ มือเล็กๆที่อ่อนนุ่มได้กอดคอของเธอเอาไว้ และยังได้มีเสียงกรนขึ้นเบาๆแล้ว หานมู่จื่อเห็นถึงเสี่ยวหมี่โต้วที่เป็นเช่นนี้ ในใจก็อ่อนลงจนไม่เป็นรูปร่าง จากนั้นก็ได้เปิดประตูรถออก หลังจากนั้นก็คิดที่จะนำเธออุ้มขึ้นมา
หานชิงกลับยืนอยู่ตรงประตู จากนั้นก็ได้พูดเบาๆ: “เอาเขาให้แก่ฉัน”
ถึงอย่างไรเสียเสี่ยวหมี่โต้วก็คือเด็กผู้ชาย รูปร่างก็มักจะต้องหนักสักหน่อย ดังนั้นถ้าให้หานชิงอุ้มแล้วละก็ ก็จะสบายยิ่งขึ้น
หานมู่จื่อทำได้เพียงพูดเสียงต่ำ: “เขาหลับแล้ว นายเบาหน่อย อย่าปลุกเขาตื่น”
“วางใจ” หานชิงได้นำเสี่ยวหมี่โต้วรับเข้าไปจากในมือของเธอ หลังจากนั้นก็ได้อุ้มเขาไว้จากไป
รอหลังจากที่หานชิงจากไปแล้ว จางเสี่ยวเหยียนถึงได้จังหวะเข้าใกล้ขึ้นมาอย่างลับๆล่อๆ: “วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อได้ฟังคำนี้ หานมู่จื่อก็ได้ชะงักงัน: “อะไรเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็คือเธอไม่ใช่ว่าหยิบโทรศัพท์ของฉันไปหาเย่โม่เซินแล้วเหรอ? เขาไม่ได้ทำอะไรกับเธอใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ จางเสี่ยวเหยียนยังคงได้เดินมาถึงตรงหน้าเธอมองซ้ายมองขวา ที่พิเศษกว่านั้นก็คือตอนที่ได้จ้องริมฝีปากของเธอเอาไว้ แววตานั้นเหมือนกับอยากที่จะมองอะไรออกมาจากที่ตรงนี้ยังไงยังงั้น
“เธอทำอะไรล่ะ?” หานมู่จื่อถูกหล่อนจ้องมองจนเกรงกลัวแปลกๆ จากนั้นคิ้วก็ได้ขมวดขึ้นและอดไม่ได้ที่จะถามไปประโยคหนึ่งแล้ว
“มองดูว่าเธอไม่ได้ถูกเอาเปรียบ” เมื่อจางเสี่ยวเหยียนพูดจบยังได้เข้าใกล้ใช้มือทั้งสองข้างถือหน้าของเธอเข้ามา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมจริงจัง หานมู่จื่อเกือบจะคิดว่าหล่อนต้องการจูบเข้ามาแล้ว และได้ตกใจจนผลักจางเสี่ยวเหยียนออกไปและเธอก็ได้รีบถอยไปทางด้านหลังกี่ก้าว: “ได้แล้ว หยุดโวยวายได้แล้ว”
หลังจากที่จางเสี่ยวเหยียนถูกผลักออกไปยังได้มีความงุนงงอยู่บ้าง: “เป็นอะไรไปแล้วล่ะ? ฉันไม่ก็แค่ต้องการที่จะมองดูงั้นเหรอ? อย่างไรเสียเขาก็เรียกเธอเข้าไปตั้งแต่เช้า อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันหยุดอีก มู่จื่อ ฉันคิดว่าเขาก็คือมุ่งเข้ามาใส่เธอ เธอดูในบริษัทของพวกเรานักแบบออกมากมายเช่นนั้นเขาไม่เลือก จะต้องเลือกเธอที่เป็นเจ้านายคนนี้เข้าไป อีกทั้ง……ตอนที่พวกเราไปเขาก็คือไม่เกรงใจเลยสักนิดจริงๆ และก็ได้ปฏิเสธที่จะเจรจาร่วมมือด้วยกับพวกเรา ฉันคิดว่า……”
“เธอคิดว่าอะไร?” หานมู่จื่อได้ยกลูกตากำชำเลืองมองไปที่เธอทีหนึ่ง
จางเสี่ยวเหยียนได้เม้มปาก จากนั้นก็ได้พูดด้วยความจริงจัง: “ไม่เช่นนั้น……พวกเรายกเลิกสัญญาเถอะ? ฉันกลัวว่าถ้านานวันแล้ว เธอจะถูกเขาเอาเปรียบแล้วยังไม่แบกรับความรับผิดชอบ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หานมู่จื่อเกือบจะสำลักลมหายใจจากสิ่งที่ไม่คาดคิด สาวน้อยคนนี้……เธอคือจงใจพูดเช่นนี้ใช่ไหม?
จางเสี่ยวเหยียนได้หัวเราะแล้วหัวเราะอีกด้วยความอึดอัดใจ: “ที่ฉันพูดก็คือจริงนะ หรือว่าฉันพูดผิดไปแล้ว?”
“ไม่ผิด แต่เงินผิดสัญญาแล้วละก็ เธอได้ดูสัญญาแล้วหรือยัง?”
เมื่อคิดถึงจำนวนเงินยกเลิกสัญญาที่มีมูลค่าสูงเท่าฟ้านั้นแล้ว ใบหน้าของจางเสี่ยวเหยียนก็ได้ขาวซีด “เงินผิดสัญญาสามารถให้พี่เธอจ่ายได้ไง?”
“เธอกำลังคิดอะไร? บริษัทได้สูญเสียเขาของเขาไปไม่น้อยแล้ว อีกทั้งพวกเราคือมาเปิดบริษัท คนหนึ่งไม่พอใจก็ยกเลิกสัญญา ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลาคนอื่นในบริษัทของพวกเราจะอาศัยอะไรกินข้าว? ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มีเพียงพวกเราทั้งสองคนแล้ว เวลานั้นพวกเรายังคงสามารถเอาแต่ใจได้ แต่ตอนนี้การกระทำของพวกเราก็เป็นตัวแทนป้ายร้านค้าของบริษัท ในเมื่อฉันรับใบรายการของเขาแล้ว ก็จะไม่ทำเรื่องราวทุบหม้อข้าวตัวเองประเภทนั้น”
จางเสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าที่เธอพูดก็มีเหตุผล จากนั้นก็ได้พยักหน้าคล้อยตาม
“คำพูดแม้ว่าพูดเช่นนี้ แต่ฉันยังคงคือ……ไม่หวังว่าเธอจะได้รับความไม่เป็นธรรม”
“วางใจเถอะ ฉันสามารถรับความไม่เป็นธรรมอะไรได้?”
แม้ว่าเธอจะถูกเย่โม่เซินเอาเปรียบแล้ว แต่ว่าเขาอยู่ที่ตัวเองที่นี่ก็ไม่มีการหารือร้องขอถึงประโยชน์
นับและนับอีก ที่จริงก็ไม่นับว่าเสียเปรียบเถอะ
ถึงอย่างไรรอหลังจากที่การร่วมมือครั้งนี้กับเขาจบลง หลังจากนี้ก็ประมาณว่าสามารถสงบเงียบลงมาได้แล้ว
*
เสี่ยวหมี่โต้วไปเรียนหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว เพราะว่าโรงเรียนค่อนข้างใกล้กับหานมู่จื่อมาก ดังนั้นตอนที่หานมู่จื่อเลิกงานก็จะไปรับเขาพากลับมา ทุกวันเวลาที่เสี่ยวหมี่โต้วได้อยู่ร่วมกันกับแม่จ๋าก็มีเวลาที่ไปกลับมากขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องเอ่ยว่าดีใจมากแค่ไหนแล้ว
ตอนที่เสี่ยวหมี่โต้วได้เอ่ยว่าต้องการไปที่บริษัทขึ้นมา หานมู่จื่อกลับได้ปฏิเสธเขาแล้ว
“นายปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนไปก่อนครู่หนึ่ง รอจนคุ้นเคยแล้วค่อยพานายมาเล่นที่บริษัท ดีไหม?”
เวลาช่วงนี้เย่โม่เซินก็ไม่รู้ว่าจะสิ่งมาถึงในบริษัทตอนไหน พูดตามความจริง เธอได้ซ่อนความรู้สึกของการไม่ต้องการให้เย่โม่เซินได้พบกับเสี่ยวหมี่โต้ว
แม้ว่าตอนแรกเธอจะคิดว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเย่หลิ่นหาน
แต่ว่า……เด็กคนนี้ยิ่งโตยิ่งเหมือนกับเย่โม่เซิน หานมู่จื่อได้ตื่นตกใจอยู่ในใจจนไม่ไหว ความลับนั้นเป็นเธอที่ได้เก็บรักษาไว้อยู่ภายใต้จิตใจ แต่ว่าคนอื่นไม่รู้
เพราะว่าเย่โม่เซินเป็นสามีเก่าของเธอ ดังนั้นคนอื่นเพียงแต่คิดว่าเสี่ยวหมี่โต้วเป็นลูกที่เกิดจากเธอกับสามีเก่า
แต่ว่า……มีเพียงตัวของหานมู่จื่อเองที่รู้ว่าตอนนั้นได้ตั้งครรภ์เด็กคนนั้นในคืนฝนตกตอนที่ได้อยู่กับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ภายหลังหลังจากที่หานเส่โยวได้ตรวจสอบผลแล้ว ก็ได้บอกกับเธอว่าคนนั้นก็คือเย่หลิ่นหาน
หากว่าเป็นเย่หลิ่นหานละก็ ทำไมก็ได้เหมือนกับเย่โม่เซินเช่นนี้เช่นนี้ล่ะ?
มีความคิดที่น่ากลัวความคิดหนึ่งอยู่ในหัวลึกๆเข้าไปได้ลอยขึ้นมา เพียงแค่เพิ่งจะเริ่มต้นก็ได้ถูกหานมู่จื่อกดลงไปแล้ว
เธอคือบ้าไปแล้วถึงได้คิดเช่นนี้!
เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!
หลังจากที่หานมู่จื่อนำความคิดนี้กดลงไป อารมณ์ความรู้สึกถึงได้ค่อยๆสงบขึ้นมา