บทที่ 429 ไม่ใช่ให้ฉันมาเชิญด้วยตัวเอง
จางเสี่ยวเหยียนรู้จักกับหานมู่จื่อมาหลายปีเช่นนี้ จะไม่เข้าใจหานมู่จื่อได้ยังไงกัน
หล่อนจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นให้เธอกับเสี่ยวหมี่โต้วออกมา ก็คือมีเรื่องจริงๆต้องการที่จะสั่งให้พวกเขาออกไปแล้ว
และคนที่ยิ่งใหญ่คนนั้นตรงชั้นล่าง จางเสี่ยวเหยียนก็ได้ติดตามเธอมานานเช่นนี้ เมื่อได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็น่าจะคาดเดาได้ว่าคือใคร
“คุณป้าจางเสี่ยวเหยียน พวกเราไม่กินอาหารมื้อใหญ่แล้วเหรอ?” เสี่ยวหมี่โต้วหมุนลูกตาดำกลมๆ ถามออกมาแล้วประโยคหนึ่ง
“กินวันอื่น วันนี้แม่ของนายมีงานต้องเจรจากะทันหัน ดังนั้นพวกเราต้องจากไปก่อน”
ดวงตาของเสี่ยวหมี่โต้วได้สว่างกะพริบ ดูเหมือนว่ามีแสงอะไรโอนผ่านไปยังไงยังงั้น แต่สุดท้ายแล้วเขายังคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นก็ได้ปล่อยให้จางเสี่ยวเหยียนนำหมวกใส่ไว้บนหัวของเขา หลังจากนั้นก็ได้จูงมือของเขาขึ้นจากไปด้วยกัน
สายตาทั้งหมดของเย่โม่เซินยังคงได้ตกอยู่ที่บนตัวของพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
รอถึงตอนที่จางเสี่ยวเหยียนกับเด็กคนนั้นยืนขึ้นมา เย่โม่เซินถึงตระหนักได้ถึงตรงหน้าของหานมู่จื่อคาดไม่ถึงว่าจะมีเด็กเพิ่มมาคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแค่คิดว่า……เด็กคนนั้นอาจจะเป็นลูกของเพื่อนร่วมงานของเธอ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกัน เมื่อตอนนี้เด็กคนนั้นถูกจางเสี่ยวเหยียนพาจากไป คาดไม่ถึงว่าสายตาที่ลึกลับของเย่โม่เซินจะมองตามเข้าไป ตอนนี้ได้เดินไปถึงประตูของร้านอาหาร เด็กผู้ชายที่ได้สวมหมวกไว้คนนั้นได้เงยหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และได้ปรากฏด้านข้างหน้าออกมาครั้งหน้าแล้ว
เป็นสายตาเดียวทำให้สีหน้าของเย่โม่เซินได้เปลี่ยนทันที
เด็กคนนั้น……
เวลานี้ คนกี่คนที่อยู่ชั้นล่างก็ได้ผลักประตูเข้ามาแล้ว
เสียงที่ดังออกมาทำให้ความคิดของเย่โม่เซินหยุดลง เขาได้สติกลับมา ลูกตาดำทั้งหมดที่เยือกเย็นได้มองคนกี่คนนั้นไว้ ดูเหมือนว่ากำลังสอบถาม
สีหน้าของคนกี่คนได้เปลี่ยนไปเล็กน้อยกี่ส่วน หลังจากนั้นก็ได้เดินขึ้นมาด้านหน้ากี่ก้าว
“คุณ คุณชายเย่……”
พวกเขากี่คนได้กันหน้ามองไปยังด้านล่างทีหนึ่ง ก็ได้พบว่าสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้นได้จากไปแล้ว จากนั้นก็ได้รีบพูดอธิบายด้วยความตกใจ: “ไม่ใช่พวกเราบีบให้ไป พวกเราเพียงแค่เชิญเธอขึ้นมานั่งๆเท่านั้น ไม่ได้พูดเรื่องอื่น”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่โม่เซินก็ได้ยกคิ้วขึ้นแล้ว “พวกคุณพูดแล้วว่าเป็นฉัน?”
“แน่นอนว่าไม่มี” คนกี่คนได้โบกมือพร้อมพูด: “พวกเราเพียงแค่พูดกับเธอว่าด้านบนมีคนที่ยิ่งใหญ่”
คนกี่คนได้เอาคำพูดที่เป็นความจริงนี้รายงาน รวมทั้งคำพูดประโยคนั้นที่หานมู่จื่อได้พูดอยู่ที่ชั้นล่างว่าให้เขาไปเชิญด้วยตัวเอง
ตอนที่คนกี่คนนี้ได้พูดคำพูดพวกนี้กับเย่โม่เซิน อีกด้านหนึ่งก็ยังคงติดตามสังเกตการณ์แสดงออกของเย่โม่เซินอย่างละเอียด ในใจได้นับคำนวณไว้ ตัดสินใจว่าหากว่าบนใบหน้าของเย่โม่เซินได้มีสีหน้าที่ไม่พอใจลอยขึ้น พวกเขาก็ต้องให้หานมู่จื่อเห็นถึงความร้ายกาจดูสักหน่อย
แต่บนใบหน้าของเย่โม่เซินไม่ได้มีการแสดงออกอะไร และได้มีท่าทางที่เยือกเย็นที่ได้รักษาไว้แต่ต้นมาตลอด
พวกเราก็คิดไม่ออกว่าในใจของเย่โม่เซินคือได้คิดยังไงกันแน่ไปชั่วขณะ
หนึ่งในนั้นก็มีคนหนึ่งที่คิดจะหยั่งเชิงดูสักหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงได้พูดออกมาด้วยความโกรธ: “ผู้หญิงคนนี้ก็เกินไปแล้วจริงๆ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร คาดไม่ถึงว่าจะให้คุณชายเย่ลงไปเชิญด้วยตัวเอง คุณชายเย่ คุณอย่าใจร้อน ตอนนี้ฉันก็จะให้คนของฉันไปเอาเธอพาขึ้นมา”
เมื่อพูดจบ คนนั้นก็ต้องการโบกมือให้คนของตัวเองออกไป
เส้นสายตาที่เหมือนกับคันธนูของเย่โม่เซินได้กวาดเข้ามา: “ใครให้นายตัดสินใจด้วยตัวเอง?”
“……คุณชายเย่?”
วินาทีถัดไป เย่โม่เซินก็ได้หมุนหัวมองทะลุตกไปยังหน้าต่างเพื่อมองหานมู่จื่อที่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นไว้ ริมฝีปากบางๆก็ได้ยกขึ้นเล็กน้อยแล้ว ให้เขาลงไปเชิญด้วยตัวเองงั้นเหรอ?
ดูแล้ว……ผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะเดาได้ว่าเขาเป็นใครมาตั้งนานแล้ว
*
หานมู่จื่อได้นั่งอยู่ตรงที่เดิมแล้วครู่หนึ่ง เธอได้มองเวลาที่เดินผ่านไปหนึ่งนาทีหนึ่งวินาทีไว้ จากนั้นก็ได้คำนวณไว้ว่าจางเสี่ยวเหยียนกับเสี่ยวหมี่โต้วก็น่าจะนั่งอยู่บนรถจากไปแล้ว ก็ได้ถือโอกาสลุกขึ้นมาเตรียมตัวที่จะจากไป
ตอนที่ลุกขึ้น หานมู่จื่อก็รู้สึกตรงหน้าได้วิงเวียนหน้ามืด เกือบจะปักล้มไปทางด้านหน้า โชคดีที่เธอยื่นมือประคองเก้าอี้ไว้แล้ว ถึงไม่ได้ล้มลงไป
หานมู่จื่อได้แกว่งหัวไปมา นานมากแล้วที่ไม่ได้เป็นเหมือนวันนี้แบบนี้ อาจจะเป็นเวลาชั่วคราวที่รับไม่ไหว
เธอจะต้องรีบไปจากที่นี่ หลังจากนั้นก็ไปหาที่กินของสักหน่อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ได้ถือโอกาสก้าวเท้าก้าวไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เมื่อเพิ่งเดินไปตรงทางออกตรงประตู ก็มีเงาหนึ่งได้ขวางกั้นเส้นทางการไปของเธอแล้ว
“ไปไหน?”
เสียงที่เยือกเย็นของผู้ชายที่ได้ส่งมาจากตรงหน้า หานมู่จื่อได้มองคนตรงหน้าเธอที่ได้ออกมาตอนนี้ไว้
เป็นเขาจริงๆ!
เย่โม่เซิน!
เธอก็รู้นั่งลงมาไม่นานก็รู้สึกว่ามีเส้นสายตาคู่หนึ่งที่ได้สังเกตบนตัวของตัวเองไว้ แววตาที่ร้อนแรงเช่นนี้นอกจากเย่โม่เซินแล้วยังจะมีใคร? เพียงแต่ว่าตอนนี้หานมู่จื่อไม่มีเวลากับอารมณ์มารับมือกับเขา เพราะว่าเธอไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้ส่วนของกระเพาะอาหารก็ได้ซ่อนความเจ็บขึ้นมาแล้ว
เธอได้เม้มปากแล้วเม้มปากอีก จากนั้นก็ได้ฝืนบีบรอยยิ้มที่เป็นทางการหนึ่งออกมาเล็กน้อย
“ที่แท้เป็นคุณเย่ ได้พบคุณที่นี่ก็ช่างบังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ เพียงแต่ว่าฉันยังมีเรื่องต้องไปจัดการ รอวันหลังตอนที่มีโอกาสค่อยเชิญคุณเย่กินข้าว”
เมื่อพูดจบหานมู่จื่อก็ต้องการไป ผลสุดท้ายตอนที่ได้ผ่านด้านตัวของเย่โม่เซินกลับถูกเขาเกี่ยวข้อมือไว้แล้ว
“ฉันมาแล้ว”
ฝีเท้าของหานมู่จื่อได้หยุดชะงัก และได้มองเขาไว้ด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
เย่โม่เซินได้หมุนหัวเข้ามา ลูกตาสีดำที่แน่นได้ยึดอยู่บนใบหน้าเธอ: “ไม่ใช่ให้ฉันมาเชิญด้วยตัวเอง?”
“……”
“ขึ้นชั้นบนไปกินข้าว”
มุมปากของหานมู่จื่อได้ดึงออก เธอเพียงแค่พูดไปอย่างลวกๆ เพราะว่าต้องการให้พวกเขาออกไป และให้จางเสี่ยวเหยียนกับเสี่ยวหมี่โต้วจากไป แต่ไม่เคยต้องการที่จะขึ้นไปกินข้าวชั้นบนด้วยกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ได้ฉีกปากพูด: “คุณเย่ เกรงว่าจะเข้าใจผิดแล้ว ฉันเพียงแค่ให้คุณมาเชิญด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้พูดว่าฉันจะต้องรับปาก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่โม่เซินก็ได้หรี่ตาขึ้นอย่างมีความอันตรายอยู่บ้าง
“ดังนั้น เธอนี้คือกำลังหยอกล้อกับฉันแล้ว?”
“ล้อเล่นเท่านั้น” หานมู่จื่อได้ดิ้นให้มือของเขาหลุดออก จากนั้นก็ได้ถอยไปทางด้านหลังแล้วสองก้าว ผลสุดท้ายก็ได้โซเซ เกือบจะปักล้มไปทางด้านหลัง
เพียงแต่ว่าหานมู่จื่อได้ถอยไปด้านหลังกี่ก้าวตัวก็ได้ยืนนิ่งแล้ว หลังจากนั้นเธอก็ได้กุมไปที่ส่วนของกระเพาะไว้ สีหน้ามีความขาวซีดอยู่บ้าง
ในชั่วพริบตาเดียวเย่โม่เซินตระหนักถึงความผิดปกติขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็ได้หรี่ตาขึ้นสังเกตเธออย่างละเอียด
“เป็นอะไรไป?”
หานมู่จื่อหายใจเข้าลึกๆฟอดหนึ่ง และได้ยกอยู่ตรงที่เดิมผ่อนคลายความเจ็บปวดของกระเพาะไปครู่หนึ่ง ไม่สามารถที่จะสิ้นเปลืองต่อไปได้อีกแล้ว
สีหน้าที่ขาวซีดของเธอได้มองเย่โม่เซินไว้พร้อมพูด: “ไม่เป็นไร โรคเก่ากำเริบ”
“โรคอะไร?” เย่โม่เซินได้จ้องมองเธอไว้แน่น เหมือนว่าเป็นห่วงสนใจเธอมากยังไงยังงั้น
หานมู่จื่อได้ยิ้มเล็กน้อย และคือไม่ได้อธิบายไปทางเขา ทำเพียงแค่เดินไปตามทิศทางของที่จอดรถตรงๆ เย่โม่เซินได้ยืนอยู่ตรงที่เดิมครู่หนึ่งจากนั้นก็ได้ตามขึ้นไปแล้ว
เมื่อไปถึงที่จอดรถแล้ว ความเจ็บปวดของกระเพาะของหานมู่จื่อก็ได้ยิ่งอยู่ยิ่งรุนแรงขึ้น หน้าผากก็ได้มีน้ำเหงื่อเย็นๆบุ่มบ่ามออกมาแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าต้องการเล่นกับเธอหรือว่าเป็นเธอที่เอาแต่ใจเกินไปจริงๆแล้ว เมื่อก่อนตอนที่มีความเจ็บปวดของกระเพาะก็ไม่เหมือนกับวันนี้ เป็นเธอที่วันนี้หิวมากเกินไปแล้ว หรือว่าใจร้อนเพราะโกรธ ดังนั้นถึงได้เป็นแบบนี้?
ฝีก้าวหนึ่งที่ได้โซซัดโซเซ หานมู่จื่อคิดต้องการที่จะจับประคองอะไรไว้ แต่ผลสุดท้ายก็ได้จับไปถึงอบอุ่นหนึ่ง
เธอได้กลับหัว มองไปยังใบหน้ารูปงามที่เยือกเย็นของเย่โม่เซิน และมือของเธอก็ได้จับไปบนแขนของเขาพอดี
หานมู่จื่อชะงักงันไปแล้วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้นำมือเก็บกลับมาแล้ว เธอจึงได้พูดถามอย่างไม่มีกำลัง: “ทำไมนายก็ตามเข้ามาแล้ว?”
สีหน้าของเธอเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ขาวซีดกว่ามากแล้ว อีกทั้งหน้าผากก็ยังมีเหงื่อเย็นๆพุ่งขึ้นมาแล้วอีกชั้นหนึ่งที่ทั้งมากและถี่ ท่าทางนี้เมื่อมองขึ้นมาแล้วก็ไม่ดีเป็นอย่างมาก เย่โม่เซินก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นอย่างรุนแรง และก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว และได้นำเธอลากมาถึงตรงหน้าของตัวเองตรงๆ และได้พูดถามอย่างโหดเหี้ยม: “เป็นอะไรกันแน่?”
หานมู่จื่อถูกเขาทำให้ตกใจแล้ว และได้เปิดปากพูดอย่างไม่มีแรง: “กระเพาะ ปวดกระเพาะ”
เมื่อเสียงของคำพูดนี้เพิ่งตกออกมา เธอทั้งคนก็ถูกอุ้มขึ้นมาแล้ว