บทที่ 433 จูบก็จูบมาแล้ว
น้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างทันทีนี้ทำให้หานมู่จื่ออึ้งไปสักพัก เธอเงยหน้ามองเย่โม่เซินแวบหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นกับคนๆ นี้?
ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้อย่างรวดเร็ว น่าแปลกจัง
หานมู่จื่อไม่ได้ตอบอะไรแล้วดึงมือตัวเองกลับมา
แต่วินาทีต่อมา เย่โม่เซินกลับยื่นมือมาพยุงเธอขึ้น ถึงแม้ว่าการกระทำจะนุ่มนวลอ่อนโยน แต่กลับไม่อาจปฏิเสธได้
หานมู่จื่อ: “……”
ความโกรธปะทุขึ้นในดวงตาคู่งามของเธอ โกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้แล้วจ้องเย่โม่เซิน
แต่ดูเหมือนเย่โม่เซินจะไม่รู้สึกถึงความโกรธของเธอ มือข้างหนึ่งถือชาม มืออีกข้างหนึ่งถือช้อน เขาตักน้ำซุปโจ๊กแล้วจรดไปที่ที่ริมฝีปากของหานมู่จื่ออย่างสบายใจ
“ไม่ต้องมองฉัน ค่อยๆ ดื่ม”
ประโยคนี้เกือบทำให้หานมู่จื่อบันดาลโทสะ น่าเสียดายที่เธอมีแรงไม่พอ ถ้าบันดาลโทสะล่ะก็ เสียงพูดก็คงไม่ดัง
“ใครมองคุณ?”
เธอจ้องเขาอย่างนั้นเหรอ? เขาถึงได้คิดแบบนี้?
พอเห็นอารมณ์ฉุนเฉียวของเธอรอยยิ้มของเย่โม่เซินก็ล้ำลึกยิ่งขึ้น หลายวันมานี้ท่าทางของเธอทำให้เขารู้สึกว่าไม่จริงพอและเหินห่างเกินไป แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะป่วยและไม่คิดว่าจะทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาใกล้ชิดกันขึ้นมา
เย่โม่เซินเอ่ยเสียงต่ำ: “ได้ เธอไม่ได้มองฉัน อย่างนั้นดื่มโจ๊กได้แล้วใช่ไหม?”
คำพูดนี้ทำให้หานมู่จื่ออึ้งไปสักพัก เธอไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม?
ทำไมเธอมักจะรู้สึกว่าในคำพูดของเย่โม่เซินมีกลิ่นอายของความเอ็นดูโปรดปรานอยู่ พอมองสีหน้าเขาอีกครั้ง ท่าทางทุกอย่างคือการเอาใจ
เขากำลังเอาใจตนเอง? เพราะอยากให้เธอดื่มโจ๊ก?
ทำไม?
เพราะอะไรถึงต้องเป็นห่วงเธอ?
แต่ทำไมถึงเป็นห่วงเธอ? เขาเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ทำไมถึงยังทำเรื่องพวกนี้? พอคิดแบบนี้ หานมู่จื่อก็กัดริมฝีปากล่าง แข็งข้อไม่ยอมดื่มโจ๊กที่อยู่ตรงริมฝีปากเธอคำนั้น
เวลาผ่านไป เย่โม่เซินรักษาท่าทางนั้นไว้ตลอด แต่หานมู่จื่อก็ไม่กิน ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกัน
พอสักพัก ในที่สุดเย่โม่เซินก็วางลงในชามอย่างจนปัญญา “เธอคิดอย่างไรกันแน่?”
หานมู่จื่อมองเขาอย่างดื้อรั้น
“คำพูดนี้ฉันควรถามคุณมากกว่ามั้ง?” พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็หัวเราะเสียงเย็น แล้วหันไปมองเวลาบนผนังแวบหนึ่ง: “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณเย่ยังไม่กลับ เกรงว่าจะทำให้ภรรยาที่บ้านคุณรอนานเกินไปแล้วมั้ง?”
เย่โม่เซินอึ้งไปสักพัก
ดวงตาของเขาล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่รู้ว่าเธอยังแต่งงานกับตนเองอยู่ ดังนั้นเลยพูดออกมาแบบนี้ แต่ว่า…ท่าทางที่เธอหันหน้าพูดแบบนี้ ดูแล้ว…
“คุณเย่” หานมู่จื่อพูดย้ำทีละคำทีละประโยค: “ฉันไม่รู้ว่าคุณโอบกอดความคิดอะไรถึงได้รออยู่ที่นี่ วันนี้คุณส่งฉันมาที่โรงพยาบาล ฉันขอบคุณคุณมาก แต่คุณไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ…ไม่ควร”
หานมู่จื่อยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนใช้แรงบีบคางเอาไว้ แล้วตัวเธอก็หันไปอีกทาง หลังจากนั้นมีเงาดำตรงหน้า ริมฝีปากของเธอก็ถูกคนจูบแล้ว
ในขณะนั้น หานมู่จื่อเบิกตาโตจ้องคนที่เข้ามาใกล้ จนลืมตอบโต้ไปเลย
พอจูบเสร็จ เย่โม่เซินก็ถอนริมฝีปากและลมหายใจที่ร้อนเผาของตัวเองออก: “ถ้าฉันอยากอยู่ที่นี่ เธอจะทำอะไรฉัน?”
รูม่านตาของหานมู่จื่อหดตัวลงเล็กน้อย แล้วได้ตอบสนองกลับโดยการยกมือขึ้นอยากจะตบเย่โม่เซิน ใครจะรู้ว่าเขาจับมือไว้ ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลังจากหานมู่จื่อถูกจูบ ริมฝีปากที่ขาวซีดในที่สุดตอนนี้ก็มีสีขึ้นมาแล้ว แต่ใบหน้าของเธอกลับขาวซีดกว่าตอนแรก ดูเหมือนจะได้รับความสะเทือนอารมณ์มาก
“ไม่ได้อยากทำอะไร เธอดื่มโจ๊กเถอะ” เย่โม่เซินยังคงถือโจ๊กชามนั้นอยู่ หานมู่จื่อยกมือเช็ดความรู้สึกนั้นออกจากริมฝาก แล้วมองเขาอย่างดุดัน “ฉันดื่มเสร็จคุณก็จะไป?”
เย่โม่เซินไม่ได้ปฏิเสธ หานมู่จื่อก็ไม่ได้พูดและยื่นมือไปรับโจ๊กชามนั้นด้วยตนเอง หลังจากนั้นเงยหน้าเตรียมจะดื่ม
ปรากฏว่ามือของเย่โม่เซินรั้งไว้ก่อน “ไม่ควรรีบดื่ม”
เธอเป็นโรคกระเพาะ ตอนนี้เพิ่งจะฟื้น ถ้ารีบดื่มอาจจะทำกระเพาะย่อยอาหารได้ไม่ดี
หานมู่จื่อหยุดการกระทำสักพัก คิดไม่ถึงว่าเขากับเสี่ยวเหยียนจะพอๆ กัน หรือว่าเสี่ยวเหยียนจะกำชับเขาให้ทำแบบนี้ก่อนแล้ว? นี่มันไม่รักษาน้ำใจกันเลย รู้ว่าเธออยู่ที่นี่แต่ก็ยังไม่ช่วยเธอ คิดไม่ถึงว่าจะเอารายละเอียดสำคัญแบบนี้สอนให้เขาทำ
ทุกครั้งที่เธอโรคกระเพาะกำเริบ เสี่ยวเหยียนก็มักจะช่วยเธอต้มโจ๊ก ให้เธอดื่มน้ำซุปโจ๊ก แต่หานมู่จื่อไม่ชอบรสชาตินี้ ดังนั้นทุกครั้งจึงคิดที่จะกรอกลงไป แต่ก็ถูกเสี่ยวเหยียนห้ามไว้ทุกครั้ง
ดังนั้นหานมู่จื่อจึงทำได้เพียงค่อยๆ ดื่ม รอจนดื่มเสร็จเย่โม่เซินก็รับไป หลังจากนั้นพูดเสียงเย็น: “นั่งสักพัก หลังจากนั้นพักผ่อน”
หานมู่จื่อมองเขาอย่างมึนงงเล็กน้อย: “คุณไม่ไป?”
ตอนนี้เธอค่อยๆ ฟื้นฟูกำลังแล้ว
“ไป?” เย่โม่เซินเลิกคิ้ว แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา: “ฉันไปแล้วใครจะดูแลเธอ?”
“คุณเย่! ชายหญิงอยู่ด้วยกันมันไม่เหมาะ คุณไปเถอะ ฉันจะเรียกคนอื่นมาดูแลฉันแน่นอน”
พอได้ยิน สายตาของเย่โม่เซินก็เปล่งประกายแวบหนึ่ง เขาเข้าไปใกล้เธอ: “จูบก็จูบแล้ว ยังมีอะไรไม่เหมาะกว่านี้อีก?”
หานมู่จื่อ : “คุณ!”
เย่โม่เซินหัวเราะเสียงต่ำ: “ค่อยๆ นอน ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็เรียกฉัน”
ภายในห้องผู้ป่วยยังมีอีกเตียงหนึ่ง สำหรับครอบครัวผู้ป่วย เย่โม่เซินเดินไปล็อคประตูห้องแล้วเอนตัวนอนบนเตียง
ถึงแม้ว่าเตียงทั้งสองจะอยู่ห่างกันเล็กน้อย แต่หานมู่จื่อกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายของเย่โม่เซินอยู่เต็มห้อง
ดูเหมือนเป็นเพราะจูบเมื่อสักครู่ เธอจึงรู้สึกเหมือนมีกลิ่นอายของเย่โม่เซินโอบล้อมตัวเธอ ทำอย่างไรก็ไม่ไป เธอรู้สึกรำคาญนิดหน่อย แล้วกัดริมฝีปากของตน
เธอไม่อยากอยู่ในห้องเดียวกันกับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว
แต่ว่า เขาก็ไม่ยอมไป
หานมู่จื่อค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ แล้วได้ตัดสินใจบางอย่างในใจ
กลางดึก คุณหมอเข้ามาตรวจอาการหนึ่งครั้ง แค่บอกว่าถ้าหานมู่จื่อไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นอีกก็กลับบ้านได้
หานมู่จื่อนอนไม่หลับตั้งแต่แรก รอจนถึงกลางดึกเปลือกตาเธอก็หนักอึ้งทนไม่ไหวแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
พอตื่นมาอีกที ก็เช้าแล้ว ภายในห้องผู้ป่วยที่เงียบสงบไม่มีเงาของเย่โม่เซิน
เธออึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นเปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง
เมื่อวานยังคงปวดกระเพาะมาก แต่วันนี้ไม่ได้ปวดขนาดนั้นแล้ว หานมู่จื่อมองไปรอบๆ สักพัก หลังจากนั้นลงจากเตียงไปสวมรองเท้าในตอนที่เตรียมจะไปเข้าห้องน้ำนั้น
ประตูห้องน้ำก็ได้เปิดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นของเย่โม่เซิน
ดูเหมือนว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดทั้งคืน ดังนั้นเบ้าตาของเขาจึงมารอยคล้ำโดยรอบ ใบหน้านี้ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงหล่อเหลา
หานมู่จื่อดึงสายตากลับในพริบตาเดียว
“อยากเข้าห้องน้ำเหรอ?” ไม่รอให้เธอเอ่ยปาก เย่โม่เซินก็ถามก่อนแล้ว
หานมู่จื่อไม่พูด เพียงแค่พยักหน้าเงียบๆ
เย่โม่เซินหันตัว แล้วผลักประตูในเธอ: “ไป ระวังด้วย ไม่ปวดกระเพาะแล้วใช่ไหม? เวียนหัวหรือเปล่า?”
เขายังถามคำถามอีกนิดหน่อย หลังจากที่หานมู่จื่อเดินเข้าไป เสียงปิดประตูก็ดังขึ้น หลังจากนั้นเย่โม่เซินก็ยืนบังอยู่หน้าประตู