บทที่ 437 ฉันทำให้เธอเกลียดขนาดนั้นเลย
ไม่ใส่ใจ?
เมื่อหานมู่จื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็ค่อยๆ ล้ำลึกขึ้น เธอไม่รู้ว่ากำลังมองไปทางไหน แต่เสียงต่ำลงไปมาก
“จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร? เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไม่รู้นั้น สิ่งที่เคยได้รับในอดีตเหล่านี้ ยิ่งทำให้ฉันหวงแหน เพราะมีเพียงแค่พวกเราที่รู้ว่ามีความพยายามและหยาดเหงื่ออยู่ข้างในนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับเยอะแล้ว คนอื่นอาจจะคิดว่าเธอไม่สนใจรางวัลเหล่านี้ แต่ว่า…เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”
เธอหันกลับมา แล้วตั้งใจมองเลิงเยาเยาแวบหนึ่ง
“เชื่อฉัน หลังจากนี้อีกหลายปี ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนตำแหน่งอะไร เธอจะไม่มีวันลืมช่วงเวลานี้ในตอนนี้”
แววตาที่มีความจริงจังและยึดมั่นของเธอ ทำให้เลิงเยาเยาหวั่นไหวไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นเธอเม้มริมฝีปากทันที
“ฉันเชื่อที่คุณพูด ครั้งนี้…ต้องขอบคุณคุณแล้ว!”
หานมู่จื่อยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เรื่องนั้นจัดการถึงไหนแล้ว?”
“ให้ทนายติดต่อบริษัทตระกูลเย่แล้ว ครั้งนี้ฉันเลือกทนายที่ดีที่สุด เขารับประกันล่วงหน้ากับฉันแล้วบอกว่าให้มอบอำนาจทั้งหมดให้เขา เขาจะช่วงพวกเราเจรจา แถมจะช่วยพวกเรากดราคาให้ต่ำลงด้วย” เสี่ยวเหยียนพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็พยักหน้าอย่างวางใจ: “อย่างนั้นก็ดี”
เธอยังกังวลใจเสียอีกว่าเรื่องนี้จะไม่มีทนายยอมช่วยเหลือ
“ใช่แล้ว ผู้จัดการของหลินซิงหั่วบอกว่าสองวันนี้เธอกำลังยุ่งอยู่กับการถ่ายละคร อาจจะต้องรอก่อนถึงจะว่างมา”
“ได้ เก็บของสักหน่อย เตรียมเลิกงานเถอะ”
“อืม”
ทั้งสองคนเก็บของเสร็จเรียบร้อย หลังจากเตรียมที่จะเลิกงาน แล้วไปรับเสี่ยวหมี่โต้ว
ผลคือพอทั้งสองลงจากตึกแล้ว ที่ลานจอดรถกลับเห็นเงาของใครอีกคน
ไฟที่ลานจอดรถทำให้เงาของคนๆ นั้นดูสูงใหญ่ เสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างๆ หยุดก้าวเดินสักพัก หลังจากนั้นหันมามองหานมู่จื่อ
“มู่จื่อ คนๆ นั้น…”
หานมู่จื่อมองไปยังคนที่อยู่ในระยะไกลคนนั้น แล้วมอบกุญแจในมือให้เสี่ยวเหยียนอย่างเงียบๆ : “เธอขับรถไปรับเสี่ยวหมี่โต้วกลับบ้านก่อน ไม่ต้องห่วงฉัน”
เสี่ยวเหยียนรับพวงกุญแจนั้นมาอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย: “แต่ว่าเสี่ยวหมี่โต้วรอเจอเธอตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้เลยนะ เธอ…”
“วางใจ ฉันจะกลับดึกๆ หน่อย”
“อย่างนั้นก็ได้ มีอะไรโทรหาฉันนะ”
เสี่ยวเหยียนมองคนที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวจากไป
เธอยังคงวางใจเย่โม่เซิน แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการให้หานมู่จื่อยุ่งเกี่ยวกับเขา แต่ว่า…เย่โม่เซินจะไม่ทำร้ายเธอแน่นอน ข้อนี้มั่นใจได้
หลังจากที่รถออกไป ที่ลานจอดรถก็เงียบสงบขึ้นมา
หานมู่จื่อยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ส่วนคนๆ นั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเช่นกัน เธอคิดอยู่พักหนึ่งและคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเดินไปพูดกับเขาให้ชัดเจน เธอจึงเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาคนที่หลบอยู่หลังแสงไฟ
พอเดินเข้าไปใกล้ หานมู่จื่อยังเห็นว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดของชายคนนั้นมีคลื่นแห่งความโกรธ ที่แทบจะปะทุออกมา ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่หานมู่จื่อกลับยังพูดอย่างใจเย็น “คุณเย่ ต้องการหาที่นั่งคุยด้วยไหม?”
“คุย?” เย่โม่เซินหัวเราะเสียงเย็น ดวงตาสีดำเหลือบมองเธออย่างเหน็บแนม: “คุยอะไร? คุยกับนักออกแบบที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศที่เพิ่งจะกลับมาก็ยกเลิกสัญญาอย่างไรก็ได้น่ะเหรอ?”
หานมู่จื่อ: “……”
“คุณเย่ ฉันว่าตอนนี้คุณกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่การยกเลิกสัญญาเป็นสิทธิส่วนบุคคลของฉัน ความต้องการของคุณเย่ฉันทำให้ไม่ได้ ดังนั้นการยกเลิกสัญญามันดีต่อตัวคุณและตัวฉัน? หลังจากนี้ฉันก็ไม่ต้องดูแลความต้องการของคุณเย่ ส่วนคุณเย่ก็จะได้รับเงินชดเชยก้อนหนึ่ง ไม่เป็นการดีกว่าเหรอ?”
“เหอะ เธอคิดว่าฉันเย่โม่เซินขาดเงินก้อนนั้นเหรอ? ค่าชดเชย? นี่เป็นค่าแยกทางที่เธอจ่ายให้ฉันสินะ?”
หานมู่จื่อขมวดคิ้ว ทำไมเรียกค่าแยกทาง? เธอกับเขาไม่ใช่แยกทางกันเมื่อห้าปีก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาพูดประโยคนี้ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าพูดถึงค่าแยกทางในสัญญานี้?
พอคิดแบบนี้ ในใจของหานมู่จื่อก็รู้สึกกระจ่างแจ้ง จึงเม้มปาก
“ในเมื่อคุณเย่เข้าใจแบบนี้ อย่างนั้นก็ตามนี้แล้วกัน คุณเย่ ฉันยังมีธุระ ขออภัยที่อยู่คุยด้วยไม่ได้แล้ว?”
พูดจบ หานมู่จื่อก็เตรียมที่จะจากไป
แต่วินาทีต่อมาตอนที่เธอเตรียมจะจากไป ผู้ชายที่ยืนไม่ขยับอยู่ตรงนั้นก็ยืนมือมาคว้าข้อมือของเธอไว้ แล้วลากเธอกลับไป หลังจากนั้นกดเธอไว้กับตัวรถ
“ฉันทำให้เธอเกลียดขนาดนั้นเลย?”
เขาคว้ามือคู่นั้นของเธอไว้ แล้วกดตัวลงกับตัวรถอย่างไม่พอใจ
“เกลียดจนทำให้เธอไม่อยากอยู่ตามลำพังกับฉันแม้แต่นาทีเดียวเหรอ?”
เสียงของเขาหนาวเหน็บมากขึ้น กลิ่นอายรอบตัวก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น
“แม้แต่ร่วมงานก็ไม่ได้? แค่เห็นฉันแวบเดียวก็รู้สึกรังเกียจใช่หรือเปล่า?”
เมื่อพูดจบ ร่างกายของเขาก็เกือบจะกดทับร่างของเธอ ร่างกายที่หนักอึ้งนี้ทำให้หานมู่จื่อแทบจะหายใจไม่ออก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแรงกดดันที่ทรงพลังจากร่างกายของเขา
หานมู่จื่อริมฝีปากสั่น อยากที่จะต่อว่าเขา แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“ได้ยินมาว่าผลงานของโย่วโย่วได้ถูกจัดแสดงที่ห้องนิทรรศการชั้นหกแล้ว เก่งจริงๆ เลย นี่คงเป็นผลงานชิ้นแรกของบริษัทพวกเรา!”
“อืม ความจริงแล้วพวกเราเป็นบริษัทใหม่ มีผลงานชิ้นแรกเป็นเรื่องปกติ” นี่เป็นเสียงของเลิงเยาเยากับเซียวยียี
หานมู่จื่อหน้าเปลี่ยนสี
ถ้าให้พนักงานเห็นว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพนี้ หลังจากนี้เธอยังจะเป็นคนอยู่ไหม?
พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็รีบยื่นมือไปผลักเย่โม่เซิน อยากที่จะผลักเขาออกไป แต่ร่างของเย่โม่เซินหนักอย่างกับก้อนหินผลักอย่างไรก็ไม่ไป
หานมู่จื่อเริ่มใจร้อนแล้ว ทำได้เพียงพูดกดดันเสียงต่ำ: “คุณรีบปล่อยฉันเร็ว!”
เทียบกับเธอที่ใจร้อน ตอนนี้เย่โม่เซินดูในเย็นกว่ามาก เขาค่อยๆ ยื่นมือออกมาแล้วลูบแก้มขาวใสของหานมู่จื่อและปลายนิ้วของเขาก็พันถูกเส้นผมเข้าพอดี เขาหัวเราะเบาๆ : “ทำไมล่ะ กลัวแล้วเหรอ?
ฝีเท้านั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆหานมู่จื่อก็หน้าซีดขึ้นมา เธอจ้องคนตรงหน้าอย่างดุดัน แต่ท้ายที่สุดก็ยอมเอ่ยปากขอร้อง
“ขอร้องล่ะ!”
แววตาของเย่โม่ซินล้ำลึกขึ้นมา ก่อนที่พวกเธอจะเดินมา เขาก็พาเธอไปหลบอยู่มุมมืดข้างๆ
เดิมทีแผ่นหลังแนบติดอยู่กับตัวรถ แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นกำแพงที่ทั้งเย็นและแข็ง แต่กลับไม่เจ็บ เพราะว่า…ฝ่ามือของเย่โม่เซินวางช่วยพยุงหลังของเธอไว้
เพราะมีพื้นที่จำกัด แล้วก็กลัวถูกคนพอเห็น ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่ใกล้กันมาก ลมหายใจที่ผสานกันในความมืด ทุกครั้งที่หานมู่จื่อสูดลมหายใจก็รู้สึกได้ว่าเป็นลมหายใจของฝ่ายตรงข้าม
หัวใจของเธอเต้นแรงและเริ่มปั่นป่วนขึ้นมา หลังจากนั้นก็เอนศีรษะไปข้างหลังเล็กน้อย
“ขับรถกลับบ้านเถอะ คืนนี้ฉันต้องฉลองสักหน่อย อย่างไรเสีย…วันนี้ก็เป็นวันพิเศษ!”
หวังอาน: “ เยาเยา พาฉันไปด้วยเถอะ! ฉันก็อยากไป!”
“ได้!” เลิงเยาเยาอดดีใจไม่ได้: “ถึงเวลานั้นคุณก็กลิ้งกลับมาเองแล้วกัน ฉันไม่รับผิดชอบแจ้งลาให้คุณ”
หวังอานหัวเราะคิกคักแล้วรับปาก: “ไม่มีปัญหา!”
พวกเธอพูดไปด้วยเดินเข้ารถไปด้วย หลังจากนั้นก็ออกไปอย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อเอาแต่กลั้นหายใจฟังเสียงเหล่านี้ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอก เธอก็ผลักเย่โม่เซินออกไปอย่างแรง!
เย่โม่เซินถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาที่ค่อนข้างเจ็บปวด