บทที่ 440 สนับสนุนหม่ามี๊ได้
นี่เป็นครั้งแรก
เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวหมี่โต้วเอ่ยปากถามถึงพ่อกับหานมู่จื่อ
เขาเป็นเด็กรู้ความตั้งแต่เด็ก อาจเป็นไปได้ว่าเสี่ยวเหยียนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วจึงไม่เคยถามหานมู่จื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้
เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ถ้าหากเห็นครอบครัวคนอื่นสมบูรณ์ของคนอื่นเขาก็อาจถามอย่างไร้เดียงสาว่า: คุณแม่ พ่อของผมอยู่ที่ไหน? ทำไมผมถึงไม่มีพ่อ?
แต่เสี่ยวหมี่โต้วไม่เป็นแบบนั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นเด็กฉลาดมาก เฉลียวฉลาดระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้หานมู่จื่อรู้สึกปวดใจเป็นพิเศษ
เพียงแค่เขาไม่เคยเอ่ยปากมาก่อน หานมู่จื่อจึงคิดว่าเขาไม่ต้องการ ดังนั้นเธอจึงพยายามมอบความรักทั้งหมดให้กับเสี่ยวหมี่โต้ว
แต่พอมาดูตอนนี้ เขาไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการ เพียงแค่เข้าใจความรู้สึกเธอเท่านั้นเอง
พอคิดแบบนี้ หานมู่จื่อก็เข้าไปโอบร่างของเสี่ยวหมี่โต้วเข้ามาให้อ้อมแขน
“ขอโทษ หม่ามี๊มองข้ามความรู้สึกของลูก”
เสี่ยวหมี่โต้วถูกหานมู่จื่อกอดไว้ในอ้อมแขน แล้วกระพริบตามองอย่างรอคอย จากนั้นกอดคอของหานมู่จื่อแล้วยิ้มปริ่ม พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน: “ไม่หรอกหม่ามี๊ คุณแค่ช่วยเสี่ยวหมี่โต้วหาคุณพ่อก็พอแล้ว”
พอคิดแบบนี้ เสี่ยวหมี่โต้วก็กลัวหานมู่จื่อจะเข้าใจผิด จึงพูดเพิ่มอีกประโยค: “คนที่พวกเราเจอที่ร้านอาหารก่อนหน้านี้ดูไม่เลวเลยครับ”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็อึ้งไปสักพัก
“ร้านอาหาร?”
เธอรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงปล่อยเสี่ยวหมี่โต้ว : “ร้านอาหารไหน? เจอเมื่อไหร่?”
เสี่ยวหมี่โต้วตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้ตัวว่าคำพูดของเขามีช่องโหว่เขาจึงรีบแก้ไข: “หม่ามี๊ ก็คนที่เจอในร้านอาหารเมื่อสองวันก่อน คุณลุงไม่ได้บอกว่า มีคนใหญ่คนโตอยู่ชั้นบนเหรอ?”
พอจบ ตาของเสี่ยวหมี่โต้วก็เป็นประกาย: “คนใหญ่คนโต ถึงเวลานั้นก็คงสนับสนุนหม่ามี๊ได้ไม่ใช่เหรอ?”
หานมู่จื่อ: “……”
ที่แท้เสี่ยวหมี่โต้วพูดถึงเขา?
ทันใดนั้น หานมู่จื่อก็คิดอะไรบางอย่าง จึงรู้สึกเย็นหลังเล็กน้อย
มันบังเอิญหรือเปล่า? ทำไมทั้งที่เสี่ยวหมี่โต้วไม่เคยเจอเขา แต่กลับพูดคิดถึงเขา
แถมคนๆ นั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่โม่เซิน
ทันใดนั้นใบหน้าของเสี่ยวหมี่โต้วที่อยู่ตรงก็ซ้อนทับใบหน้าของเย่โม่เซินที่อยู่ในความคิด หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนเดียวกัน
พอเห็นแบบนี้ หานมู่จื่อก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
สองคนนี้ มีความสัมพันธ์อะไรกัน? ปีนั้น คนที่ขึ้นรถกับเธอไม่ใช่เย่หลิ่นหานเหรอ? แต่ทำไม…เสี่ยวหมี่โต้วถึงเหมือนเย่โม่เซินขนาดนี้ แต่กลับไม่เหมือนเย่หลิ่นหาน
มีความเป็นไปได้อีกทาง แต่หานมู่จื่อไม่กล้าคิด
พอคิดแบบนี้ หานมู่จื่อก็หลับตาลง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ : “ที่แท้เสี่ยวหมี่โต้วชอบคนใหญ่คนโต?”
เสี่ยวหมี่โต้วยิ้มแก้มปริ: “หม่ามี๊เห็นด้วยแล้ว?”
หานมู่จื่อรู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้บอกปัดความหมายของเด็กน้อยโดยตรง เพียงแค่กระซิบ: “หม่ามี๊จำสิ่งที่เสี่ยวหมี่โต้วพูดกับหม่ามี๊ได้ทั้งหมด”
“ขอบคุณหม่ามี๊”
หลังจากที่สองแม่ลูกพูดคุยกันมาตั้งนาน หานมู่จื่อก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เลยถามเสี่ยวหมี่โต้ว
“ใช่แล้ว หนูรู้ไหมว่าคุณน้าเสี่ยวเหยียนเป็นอะไร? ตอนกลับมาแม่เห็นเธอ…” เดิมทีหานมู่จื่อแค่ลองถามเฉยๆ ใครจะรู้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วกลับตอบกะทันหัน: “หม่ามี๊ เสี่ยวหมี่โต้วจะบอกความลับอะไรให้”
“ความลับอะไร?” หานมู่จื่อเอียงหูเข้ามาใกล้ๆ เสี่ยวหมี่โต้วแอบกระซิบเบาๆ ใกล้หูของเธอ: “วันนี้ผมเห็นคุณน้าเสี่ยวเหยียนจูบคุณลุง!”
หานมู่จื่อ: “……”
อะไรนะ? เธอฟังผิดแล้วใช่ไหม?
“หนูบอกว่าหนู——เห็นอะไรนะ?” หานมู่จื่อตกตะลึงเป็นเวลานาน ก่อนจะรู้ตัวว่าเสี่ยวหมี่โต้วพูดว่าอะไร คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเหยียน…จะจูบหานชิงแล้ว? ทำไมดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้? เสี่ยวเหยียนมีความกล้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“หม่ามี๊ จริงแท้แน่นอนครับ”
สักพักหานมู่จื่อก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ มิน่าล่ะเมื่อกี้ตอนที่เธอเข้าไปหาเสี่ยวเหยียน ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ เป็นเพราะเธอจูบหานชิงใช่หรือเปล่า? ก็ไม่แปลกใจที่หานชิงมีท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ดูเหมือนว่า…เธอไม่เคยเห็นหานชิงมีท่าทางแบบนี้มากก่อน หรือว่าครั้งนี้ ต้นไม้เหล็กจะออกดอกจริงๆ แล้ว?
หานมู่จื่อกลอกตาไปมาเป็นเวลานาน ทันใดนั้นมุมก็โค้งขึ้น ถ้าเสี่ยวเหยียนเป็นพี่สะใภ้เธอ ก็ดูไม่เลวเลยจริงๆ
เธอกับเสี่ยวเหยียนมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก หลังจากที่เจอเรื่องของหานเส่โยว ดูเหมือนจะได้ประสบการณ์มากมาย ดังนั้น หานมู่จื่อจึงรู้สึกว่าตัวเองควรจะมองคนได้แม่นยำมากขึ้น เสี่ยวเหยียนกับหานเส่โยวเป็นคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวเหยียนมีน้ำใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็จะคอยอยู่ตรงหน้าสกัดให้เธอ ตอนเธอป่วยเสี่ยวเหยียนก็ดูจะเป็นทุกข์กว่าเธอ ตอนเธอคลอดลูกก็ยังตื่นเต้นจนร้องไห้ออกมา ราวกับเป็นตัวเองอีกคน
หล่อนรักเธอ เป็นห่วงเธอ
มีบางครั้งที่หานมู่จื่อไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโชคดีขนาดนี้ หลังจากสูญเสียพี่สาวน้องสาวที่ดีอย่างหานเส่โยว แต่ก็มีเสี่ยวเหยียนคอยอยู่ข้างๆ ช่วยเหลือเธอมากมาย
เสี่ยวเหยียนยังพูดเองว่า ดูเหมือนชาติที่แล้วหล่อนจะติดหนี้เธอ ดังนั้นชาตินี้ถึงได้ช่วยเธอมากมายขนาดนี้
มีบางครั้งที่ล้อเล่นว่า หล่อนไม่ใช่ไม่มีเป้าหมายที่มาทำดีกับเธอ หล่อนทำเพื่อหานชิง เพื่อที่จะได้เป็นพี่สะใภ้ของเธอ
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงหัวเราะด้วยกัน หานมู่จื่อยังให้กำลังใจเธอ ขอให้เธอพยายามเป็นพี่สะใภ้ตัวเองให้ได้
หลายปีมานี้เสี่ยวเหยียนไม่มีการเคลื่อนไหว รวมถึงตอนที่ซูจิ่วสารภาพความในใจกับหานชิงครั้งแรก เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกหดหู่ไปสักพัก หลังจากนั้นก็ฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง
“เสี่ยวหมี่โต้ว ชอบคุณน้าเสี่ยวเหยียนไหม?” หานมู่จื่อยิ้มเล็กน้อย: “ถ้าหาก ให้เธอมาเป็นภรรยาของลุงหนู หนูคิดว่าอย่างไร?”
เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตา “ดีสิ ถ้าเสี่ยวเหยียนเป็นภรรยาคุณลุงล่ะก็ อย่างนั้น…หลังจากนี้เธอก็คงทำของกินให้ผมบ่อยๆ แล้ว”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็รู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปจิกหัวน้อยๆ ของเขา: “หนูนี่นะ คิดแต่เรื่องกินทั้งวัน!”
“คิคิ หม่ามี๊…คุณน้าเสี่ยวเหยียนทำอาหารอร่อย คุณเองก็ชอบ…”
สองแม่ลูกหยอกล้อกันจนหวานเลี่ยนอยู่นาน
พอตกดึก หานมู่จื่อก็ผลักผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง จากนั้นเดินไปที่หน้าต่าง มองดูค่ำคืนที่แสนเงียบสงบด้านนอก
หัวใจของเต้นแรงตุบตุบตุบ หานมู่จื่อนึกถึงสิ่งที่เสี่ยวหมี่โต้วพูดกับเธอก่อนหน้านี้ แล้วหลุบตาลง
เด็กน้อยพูดแบบนี้ นั่นหมายความว่า…เขาต้องการตามหาพ่อจริงๆ แล้ว
ทำไมกัน? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเอ่ยปาก แต่ตอนนี้กลับพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันล่ะ?
หรือว่าจะมีสาเหตุมาจากการที่ไปเข้าในโรงเรียนสองสามวันนี้?
ดูเหมือนว่า ตอนเธอไปส่งเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนพรุ่งนี้ จะต้องถามคุณครูแล้วว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนหรือเปล่า
วันที่สอง
หลังจากที่หานมู่จื่อไปส่งเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนก็ไม่ได้รีบร้อนจากไป แต่กลับไปหาคุณครู
นักเรียนที่สามารถเขาเรียนที่นี้ได้ ล้วนเป็นคนมีฐานะ คุณครูไหนเลยจะกล้าทำโทษ พอเห็นหานมู่จื่อก็สุภาพและเป็นมิตรมาก: “คุณหาน?”
“ขอโทษนะคะ รบกวนแล้ว ฉันอยากถามว่าคุณครูของหานยี่ซูคือท่านไหนคะ?”
“คือฉันเองค่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” พอคุณครูถูกเธอถามแบบนี้ ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที หลังจากนั้นมองไปทางเสี่ยวหมี่โต้ว
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็ยิ้มเล็กน้อย: “คุณไม่ต้องกังวล ฉันแค่อยากถามว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในโรงเรียนเมื่อสองวันที่ผ่านมาหรือเปล่า? ”