บทที่ 460 พวกเรายังคงเป็นสามีภรรยากัน
“คุณชายเย่คือลูกค้า เพราะฉะนั้นเรื่องสถานที่นัดพบให้คุณชายเย่เป็นคนตัดสินใจ” เซียวซู่พูดตอบอย่างปกติ
หานมู่จื่อ อึ้งไปเล็กน้อย เธอคิดไปคิดมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ใช่ เขาเป็นลูกค้า ความคิดของเขาสำคัญที่สุด ที่ที่เขานัดก็ต้องเป็นที่ที่เขานัด
หานมู่จื่อ ไม่รู้ว่าเย่โม่เซินนัดไว้ที่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด เธอหยิบมือถือขึ้นมาแล้วส่งข้อความไปกำชับเสี่ยวเหยียนว่าถ้าเลิกงานแล้วเธอยังไม่กลับไป ให้เสี่ยวเหยียนไปรับเสี่ยวหมี่โต้วกลับบ้าน แล้วก็ไม่ต้องรอเธอแล้ว
เมื่อส่งข้อความเสร็จเรียบร้อย หานมู่จื่อ จึงเก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าอย่างวางใจ จากนั้นเธอก็พิงเบาะแล้วหลับตาลง
เดิมทีเธอแค่อยากงีบสักพัก แต่เธอดันหลับไปซะอย่างนั้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมา รถก็จอดสนิทแล้ว รอบๆ เต็มไปด้วยความเงียบ เซียวซู่ก็ไม่ได้อยู่ในรถแล้ว
หานมู่จื่อ มองไปรอบๆ แล้วพบว่านี่คือภัตตาคารที่อยู่ไม่ห่างจากชายทะเล
ภายในภัตตาคาร เธอเห็นร่างคุ้นเคยของใครบางคนอยู่ไกลๆ
เย่โม่เซิน
หานมู่จื่อ ยกมือขึ้นมาลูบตาตัวเอง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นเธอก็เปิดประตูรถแล้วเดินไปหาเย่โม่เซิน
ในเมื่อมาแล้ว งั้นตอนนี้เธอก็ไม่ต้องแสร้งทำอีกแล้ว
เธอเดินไปนั่งตรงหน้าของเย่โม่เซิน
“ตื่นแล้วเหรอ”
เย่โม่เซินรู้ตั้งแต่ที่เธอเดินลงมาจากรถ แต่เธอยังทำเป็นเดินอย่างเฉยเมยมานั่งตรงหน้าเขา ยิ่งเธอเฉยเมยมากเท่าใด ภายในใจของเย่โม่เซินก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น
เพราะว่าครั้งนี้ หานมู่จื่อ เป็นฝ่ายนัดเขามาเป็นครั้งแรก
บริกรเดินเข้ามา “รับอะไรดีครับ คุณผู้หญิง”
หานมู่จื่อ ยิ้มบางๆ “ฉันขอกาแฟค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เธอเพิ่งตื่น ทำให้รู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
บริกรออกไปแล้ว หานมู่จื่อ ถือโอกาสดูการตกแต่งของร้านนี้ ใช้สีฟ้าเป็นหลัก ราวกับท้องทะเลสีฟ้าอันกว้างใหญ่ที่อยู่บนชายหาดประกอบเสริมซึ่งกันและกัน
ต่างฝ่ายต่างเงียบ เมื่อกาแฟมาเสิร์ฟ หานมู่จื่อ เอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็ใช้ช้อนคนกาแฟในแก้ว
“คุณเย่โม่เซิน”
เธอเอ่ยชื่อเขาอย่างเกรงใจ
เย่โม่เซินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ถ้าคุณมาเจรจาธุรกิจ คุณเรียกผมแบบสุภาพได้ แต่ในช่วงเวลานี้คุณห้ามพูดเรื่องส่วนตัว แต่ถ้าคุณจะมาคุยเรื่องส่วนตัวงั้นก็เรียกแค่ชื่อผม”
เขารับไม่ได้จริงๆ ที่เธอเรียกเขาแบบสุภาพ เรียกราวกับเป็นคนแปลกหน้าอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานมู่จื่อ ที่กำลังคนกาแฟถึงกับต้องชะงักไป หลังจากนั้นเธอก็ช้อนตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วพูดออกมาใหม่ว่า “โอเค งั้นวันนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน เรามาคุยเรื่องส่วนตัวกัน”
สายตาของเย่โม่เซินจ้องไปที่เธอ “งั้นคุณเรียกชื่อผมให้ฟังหน่อย”
หานมู่จื่อ: “……”
“คุณต้องทำให้ฉันลำบากใจขนาดนี้เลยเหรอ”
“คุณคิดว่าผมกำลังทำให้คุณลำบากใจงั้นเหรอ” เย่โม่เซินขมวดคิ้ว “ผมทำให้คุณลำบากใจอะไร”
หานมู่จื่อ มองเขาอยู่อย่างนั้น จากนั้นเธอก็พูดออกมาแบบติดตลก “คุณทำให้ฉันลำบากใจอะไรงั้นเหรอ คุณยังมีหน้ามาถามฉันอีกนะ คุณทำให้ฉันลำบากใจอะไร ใจคุณน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือไง”
“ไหนลองพูดมาสิ” เย่โม่เซินเอานิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้ใส่ใจ
ท่าทางของเขาทำให้ หานมู่จื่อ โมโหจริงๆ เธอสูดหายใจลึก จากนั้นก็เริ่มกล่าวข้อหาของคนผิดอย่างเย่โม่เซิน
“มาสั่งซื้อในบริษัทของฉันแบบไม่บอกไม่กล่าว แถมยังโผล่มาให้ฉันเห็นไม่หยุด ขอร้องฉันแบบไม่มีมารยาทไม่รู้กี่อย่างต่อกี่อย่าง นี่ไม่ถือว่าทำให้ฉันลำบากใจเหรอ” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็เงยหน้ามองเย่โม่เซิน
สายตานั้นเหมือนกำลังสื่อว่าคุณจะทำให้ฉันลำบากใจหรือไม่ ใจคุณเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือไง
เย่โม่เซินเลิกคิ้วขึ้น
หานมู่จื่อ พูดต่อ “ในงานแถลงข่าว เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันเดินไปเองได้แท้ๆ ทำไมคุณต้องอุ้มฉันด้วย ทำให้ฉันถูกสื่อจับตามอง มันอาจจะทำให้มีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของฉัน นี่ไม่ถือว่าทำให้ลำบากใจเหรอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินก็เม้มปากเหมือนคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “วันนั้นคุณหลบอยู่ในอ้อมอกผมตลอด ไม่ใช่หรือไง พวกสื่อจับภาพคุณไม่ได้เสียหน่อย”
หานมู่จื่อ:“……”
“ฉันอยากยกเลิกสัญญา คุณไม่ยินยอม ตั้งแต่คุณปรากฏตัวต่อหน้าฉัน คุณก็ทำให้ฉันลำบากใจมาโดยตลอด ที่วันนี้ฉันนัดคุณออกมา ก็เพราะอยากจะเคลียร์ให้ชัดเจน ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ เรื่องห้าปีก่อน ฉันลืมมันไปหมดแล้ว ฉันไม่สนว่าตอนนี้คุณจะแต่งงานแล้วหรือไม่ มันไม่เกี่ยวกับฉัน ถ้าคุณยอมให้เราเกี่ยวข้องกันแค่เรื่องงาน ฉันจะพยายามออกแบบผลงานให้คุณอย่างดี แต่ถ้าคุณจะคิดเรื่องอื่น ฉันแนะนำให้คุณลบความคิดนั้นไปซะ”
ไม่ว่าจะเป็นถ่านไฟเก่าหรืออยากทำให้เธออับอาย
หานมู่จื่อ ไม่ต้องการทั้งนั้น
แม้ว่าคำพูดของเสี่ยวเหยียนจะรบกวนจิตใจเธอ แต่สำหรับเธอแล้ว เธอเลือกที่จะปกป้องตัวเองมากกว่า
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่เธออยู่กับเย่โม่เซิน มันจะเหมือนกับห้าปีก่อนอีกหรือเปล่า ถูกเขาผลักไสอย่างไร้เยื่อใย
ความรู้สึกแบบนี้ ขอแค่ครั้งเดียวในชีวิตก็พอแล้ว
เย่โม่เซินจ้องเธอ สายตาเย็นชา “คุณอดไม่ไหวที่จะระบายมันออกมากับผมขนาดนั้นเลยหรือ อยากสลัดผมทิ้งขนาดนั้นเลย ทำไมล่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าทำไม หานมู่จื่อ เกือบจะหัวเราะออกมาต่อหน้าเขา
“เย่โม่เซิน!” เธอจ้องเขาเขม็ง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ปีนั้นใครเป็นคนโยนสัญญาใส่ฉัน บอกให้ฉันไปจากเขา แล้วใครกันที่พูดว่าไม่ให้ฉันเหยียบเข้าไปในบริษัทและคฤหาสน์ของเขาแม้แต่ก้าวเดียว คุณคิดว่าคนอื่นโง่หรือไง หลังจากที่โดนคุณผลักไสอย่างไร้เยื่อใย ยังจะต้องไล่ตามคุณอีกหรือไง งั้นฉันก็ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณผิดหวัง”
คำพูดเหล่านั้นราวกับข้อกล่าวหาอันร้ายแรง
ในคำพูดนั้นถึงมันจะกระทบจิตใจ แต่ว่าสีหน้าและแววตา รวมไปถึงความรู้สึกของเธอมันนิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้
ไม่ได้มีอารมณ์รุนแรงอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้
ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
หรือว่าเพราะการกระทำของเขาในปีนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่โม่เซินก็เม้มริมฝีปากบาง หลังจากนั้นจึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องพวกนี้ ผมอธิบายได้ คุณจะยอมฟังหรือเปล่า”
“ไม่” หานมู่จื่อ ส่ายหน้า จากนั้นเธอก็ยิ้มราบเรียบ “ฆาตกรหลังจากกระทำผิด ฉันไม่อยากฟังว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ทำไมถึงฆ่าคน เรื่องของคุณกับฉันก็เหมือนกัน พลาดไปแล้วก็คือพลาด ฉันไม่สนใจว่าในตอนแรกทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนั้น ฉันรู้เพียงว่าคุณผลักไสฉันอย่างไร้เยื่อใย เรื่องสำคัญที่สุดก็คือคุณทำอะไรไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ดูเหมือนว่าไม่ว่าผมจะพูดอะไร คุณก็ไม่เชื่อสินะ”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว หานมู่จื่อ พยักหน้า “ใช่ สิ่งที่ฉันจะพูดวันนี้ฉันก็พูดไปหมดแล้ว ต่อไปก็เป็นการตัดสินใจของคุณแล้ว ที่นี่ลมแรงมาก ฉันหนาวเล็กน้อย ฉันอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้นฉันกลับก่อนนะ”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋า หลังจากนั้นเธอก็เดินออกไป
เย่โม่เซินมองแผ่นหลังของหญิงสาว แววตาของเขานิ่งลึก
“น่าเสียดายที่ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง คุณก็ยังเป็นภรรยาของเย่โม่เซิน”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อ ก็ชะงักไป เธอหันหน้ามามองเย่โม่เซิน “หมายความว่ายังไง”
“คุณไม่รู้เหรอ เรายังเป็นสามีภรรยากันในทางกฎหมาย”