บทที่ 461 เรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
สำหรับ หานมู่จื่อ แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง เธอยืนอึ้งอยู่พักใหญ่สติก็ยังไม่กลับมา
ยังเป็นสามีภรรยาในทางกฎหมาย นี่มันหมายความว่าอย่างไร
หานมู่จื่อ รู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองหยุดเต้น
เย่โม่เซินลุกขึ้นยืน ขาอันเรียวยาวขยับไปมาจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เขายื่นมือออกมาปัดเศษที่ติดอยู่ตรงหน้าผากของเธอ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันทรงเสน่ห์
“ห้าปีมานี้ พวกเราไม่ได้หย่ากันเลย”
หานมู่จื่อ เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอมองเขาอย่างอึดอัด
เป็นไปได้ยังไง
“คุณคิดว่าคนที่จะเป็นผู้หญิงของเย่โม่เซินคิดจะเป็นหรือไม่อยากเป็นก็ได้งั้นเหรอ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของเย่โม่เซินก็มีเลศนัย ความรู้สึกที่อยู่ในแววตาของเขาเธอไม่สามารถรับรู้ได้เลย เขาขยับเข้ามายื่นมือจับไหล่ของเธอ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปพูดรดใบหูของเธอ
“ผมจะไม่ปล่อยคุณไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอ้อนวอน เพราะว่าคุณเป็นผู้หญิงของผมมาโดยตลอด คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกให้หยุด”
หานมู่จื่อ อึ้งอยู่อย่างนั้นประมาณสามวินาที แล้วก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว แล้วพูดตำหนิว่า “ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกให้หยุด แยกกันอยู่ห้าปี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับความยินยอมจากคุณ ฉันก็สามารถหย่ากับคุณได้!”
เสียงของเธอค่อนข้างดัง เรียกสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ แต่เย่โม่เซินกลับไม่สนใจ ต่อให้คนอื่นมามุงดู เขาก็ไม่สนใจ
ส่วน หานมู่จื่อ นั้นค่อนข้างจะสนใจเรื่องนี้ แต่ว่าเพราะคำพูดที่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์บอกให้หยุดของเย่โม่เซินทำให้เธอโมโห เธอจึงตอบกลับไปด้วยความโมโห ตอนนี้เธอไม่สนใจแล้วว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง
คำว่าหย่าออกมาจากบอกของเธอ มันทำให้คนหงุดหงิดจริงๆ
เขาเดินเข้ามาก้าวหนึ่ง จากนั้นก็บีบแขนของเธอ
“ถ้าการหย่ามันง่ายอย่างที่คุณคิด ตลอดห้าปีมานี่ทำไมคุณยังเป็นภรรยาของผม”
เมื่อได้ยินดังนั้น หานมู่จื่อ ก็เบิกตาโต “คุณบังคับฉันเหรอ”
เย่โม่เซินไม่พูดอะไร เขาจ้องมองไปที่เธอด้วยแววตานิ่ง
หลังจากนั้น หานมู่จื่อ ใช้แรงสะบัดมือเขาออก เธอก้าวถอยหลังอย่างไม่ค่อยมั่นคง เรื่องนี้มันกะทันหันเกินไป เธอต้องกลับไปถามหานชิงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หานมู่จื่อ หมุนตัวเดินออกไป เดิมทีเย่โม่เซินจะตามเธอไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเธอ เขาก็ก้าวไม่ออก
สิ่งที่เขาบอกกับเธอเมื่อครู่ เธอจำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ให้เธอใช้เวลากับตัวเองอย่างเงียบๆก็ดีเหมือนกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็หันไปหาเซียวซู่ที่ยืนอยู่อีกข้าง “ไปส่งเธอ เดินทางปลอดภัย”
เซียวซู่พยักหน้า จากนั้นก็รีบตามเธอไป
เดิมที หานมู่จื่อ จะนั่งรถกลับไปเอง แต่เซียวซู่ขับรถมาจอดหน้าเธอ
“คุณShelly ขึ้นรถเถอะครับ ที่นี่หารถแท็กซี่ยากมาก อีกอย่างผมเป็นคนพาคุณมา คุณชายเย่ให้ผมไปส่งคุณครับ”
เมื่อได้ยินชื่อของเย่โม่เซิน แววตาของเธอก็วูบไหว จากนั้นเธอก็ช้อนตามองไปยังเซียวซู่ที่นั่งอยูในรถ “สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงไหม”
ได้ยินดังนั้น เซียวซู่อึ้งไป เขาไม่ได้ตอบ
“คุณเป็นผู้ช่วยของเขา คุณรู้เรื่องของเขาทุกอย่าง บอกฉันมาว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ห้าปีมานี่ ฉันไม่ได้หย่ากับเขามาโดยตลอดงั้นเหรอ”
สุดท้ายเซียวซู่ก็พยักหน้า สีหน้าของเขาดูหนักใจ
“ใช่ครับ”
หานมู่จื่อ รู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในใจมันแตกสลายหมดแล้ว เธอทุกข์จนแทบจะหายใจไม่ออก
แล้วการที่เธอจากมาหลายปีมันคืออะไร
เรื่องตลกเรื่องหนึ่งงั้นเหรอ
“คุณShelly ขึ้นรถเถอะครับ”
เซียวซู่พูดเร่งเธอ
หานมู่จื่อ ไม่สนใจเขา เธอเดินไปข้างหน้าแล้วพูดออกมาว่า “ไม่ล่ะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่ว่า…”
“อย่าตามฉันมา”
ความเด็ดขาดสะท้อนออกมาจากแผ่นหลังอันบอบบางของหญิงสาว ถ้าเขาตามเธอไป เดาว่าเธอก็คงไม่ยอมขึ้นรถ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซียวซู่จึงโทรหาเย่โม่เซินเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น “คุณชายเย่ จะทำยังไงดีครับ เธอไม่ยอมขึ้นรถ ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
ปลายสายเงียบอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเย่โม่เซินก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ตามเธอไป จนกว่าเธอจะถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
“เข้าใจแล้วครับ” เซียวซู่วางสาย จากนั้นเขาจึงขับรถตามหลังเธอไปอย่างช้าๆ
ที่นี่เป็นภัตตาคารริมทะเล ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาเดินค่อนข้างนานกว่าจะถึงถนน ลมทะเลพัดกระโปรงและผมของเธอจนยุ่งเหยิงไปหมด บวกกับรูปร่างสูงยาวที่โดดเด่นของเธอ ทำให้คนที่ขับรถผ่านอดไม่ได้ที่จะหยุดรถถามเธอ
“คนสวย จะไปไหนล่ะ ให้ผมไปส่งไหม”
หานมู่จื่อ เหลือบมองคนนั้นด้วยสายตาเฉยเมย ไม่มีแม้แต่บทสนทนา
เธอไม่จำเป็นต้องสุภาพใดๆ กับคำพูดแทะโลมที่เจอระหว่างทาง
แม้สายตาของเธอจะเฉยเมย แต่เพราะว่าดวงตาของหญิงสาวเยือกเย็น ใบหน้าก็สวยงาม
ดังนั้นการมองของเธอทำให้ชายคนนั้นยิ่งชอบ
“คนสวย อย่าเฉยเมยแบบนั้นสิ ตรงนี้เรียกแท็กซี่ยากมากเลยนะ ส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวทั้งนั้น ในรถของผมก็มีผมกับน้องชายแค่สองคน ถ้าคุณขึ้นมาแล้วบอกว่าจะไปไหน ผมจะไปส่งคุณถึงที่เลย”
หานมู่จื่อ ไม่สนใจเขา แต่คนนั้นยังตื๊อไม่เลิก
“ขึ้นรถมาเถอะ ถ้าเดินต่อไปจะต้องเดินอีกนานแค่ไหนกัน เธอออกจะผอมขนาดนี้ ต้องเหนื่อยแน่นอน”
“.…..” เธอชะงักฝีเท้าลงแล้วยืนอยู่ที่เดิม
ชายคนนั้นคิดว่าเธอจะยอมขึ้นรถ เขายิ้มแล้วเตรียมจะเปิดประตูรถให้เธอขึ้นมา หานมู่จื่อ พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า
“ไสหัวไป”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายคนนั้นชะงักไป ราวกับไม่ได้คาดคิดเอาไว้ อึ้งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่
กว่าเขาจะตั้งสติกลับมาได้ หานมู่จื่อ ก็เดินไปไกลแล้ว
“ฮ่า ฮ่า วันนี้ คุณชายฉี เจอของแข็งเขาให้แล้ว นานๆ จะเจอที สุดยอดกว่าผู้หญิงที่นายเคยคบมาไหมล่ะ” เพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอาแต่พูดล้อเขาไม่หยุด
คนที่โดนล้ออย่าง คุณชายฉี สีหน้าเหี้ยมโหดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงด่าออกมาว่า “เกี่ยวอะไรกับแก ฉันเต็มใจ”
“คนก็สวยนะ แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่เห็นพี่อยู่ในสายตา” เพื่อนรักยังพูดหยอกล้อต่อไป
คุณชายฉี จ้องรูปร่างอันงดงามที่อยู่เบื้องหน้า “พี่ว่าพี่ต้องตามตื๊อเธอจริงๆ แล้วล่ะ”
เซียวซู่ตามหลัง หานมู่จื่อ ตลอดเวลา ตอนที่เธอโดนพูดแทะโลมเซียวซู่ก็เห็น แต่เขาคิดว่าไม่ได้มีเรื่องอะไร จึงไม่ได้เข้าไปห้าม แต่ไม่นานเขาเห็นรถคันนั้นตามหลัง หานมู่จื่อ ไป
ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไม่เห็นรถของเซียวซู่
เซียวซู่ขมวดคิ้ว ตอนที่เขากำลังคิดในใจว่าจะเข้าไปห้ามหรือจะโทรเย่โม่เซิน หานมู่จื่อ กำลังยืนโบกรถอยู่ริมถนน
นั่นเป็นรถบรรทุกสินค้าที่ผ่านมาทางนี้พอดี คนขับดูเป็นคนซื่อๆ เมื่อเห็นเธอโบกเขาก็หยุดรถลง
“สาวน้อย มีอะไรหรือเปล่า”
“คุณลุง” หานมู่จื่อ ยิ้มออกมา “ฉันอยากเข้าไปในเมือง คุณลุงไปส่งฉันหน่อยได้ไหมคะ”
ราวกับคุณลุงกำลังระวังตัวอย่างไรอย่างนั้น เขามองไปรอบๆ หานมู่จื่อ รู้ว่าเขากำลังกังวลอะไร เธอจึงพูดออกไปว่า “ฉันมากับเพื่อนค่ะ แต่เขาไม่มีเวลาไปส่งฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็เลยต้องเดินกลับไปเอง คุณลุงช่วยเมตตาไปส่งฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันจะจ่ายค่ารถให้ค่ะ”