บทที่ 465 ต้องเอาเธอมาให้ได้
แม้ว่า หานมู่จื่อ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องจากนี้เธอจะจัดการเอง แต่ในฐานะคนเป็นพี่อย่างหานชิงจะทนดูน้องสาวเจ็บปวดและทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
แน่นอนว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นในตอนนี้ เขานัดเย่โม่เซินออกมา
ภายในร้านกาแฟเปิดเพลงช้าและโรแมนติก ชายสองคนนั่งตรงข้ามกัน รังสีที่แผ่ออกมาจากชายทั้งสองคนมันไม่ธรรมดาเลยทีเดียว คนที่อยู่ในร้านคิดว่าพวกเขานัดกันมาคุยเรื่องธุรกิจ แต่รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวดูเหมือนไม่ยอมกันแม้แต่น้อย มองแล้วทำเอาไม่อยากเข้าใกล้เลยทีเดียว
เมื่อมองหานชิงที่อยู่ตรงหน้า แววตาของเย่โม่เซินดูน่ากลัว
ก่อนหน้านี้เขาเห็นเธอนั่งรถของตระกูลหาน เย่โม่เซินให้เซียวซู่ไปสืบดู ตอนแรกเขาคิดว่าเธอมีความสัมพันธ์อะไรกับหานชิงที่ไม่สามารถบอกให้คนอื่นรู้ ต่อมาจึงรู้ว่าเธอคือน้องสาวของหานชิง
แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องยุ่งเหยิงภายในนั้น ขอแค่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในทางอื่นก็ดีแล้ว
ถ้าหานชิงไม่ใช่พี่ชายของเธอ วันนี้เย่โม่เซินคงไม่มาที่นี่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่โม่เซินยกยิ้ม “ประธานหานชิงยุ่งขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีเวลาว่างนัดผมมาในที่แบบนี้ ทำไมครับ จะเจรจาธุรกิจกับผมเหรอ”
“นายน่าจะรู้ดีว่าฉันมาหานายทำไม” หานชิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก สายตาของเขาดูเย็นยะเยือกแล้ว
“หืม?” เย่โม่เซินเลิกคิ้วขึ้น “ผมสนิทกับประธานหานชิงเหรอ”
หานชิงช้อนตาขึ้น ใช้สายตาจ้องไปที่หน้าของเขา
“อย่าเข้าใกล้เธอ อยู่ให้ห่างจากเธอ”
“หึ” เย่โม่เซินแสยะยิ้ม เขาไม่ได้ตอบอะไร หลังจากนั้นเขาใช้มือเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ “เธอเป็นภรรยาของผม ในฐานะที่ผมเป็นสามี ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมต้องอยู่ห่างจากเธอ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของหานชิงฉายแววขุ่นมัว เขาพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้พุ่งไปข้างหน้า “ถ้าคนของนายไม่มาขัดขวาง นายกับเธอก็ไม่ใช่สามีภรรยากันตั้งนานแล้ว”
“แล้วยังไงล่ะ ใครใช้ให้คุณความสามารถไม่พอล่ะ” เย่โม่เซินไม่กลัวจะพูดล่วงเกินเขาแม้แต่น้อย คำพูดแต่ละคำล้วนพูดเสียดสีอีกฝ่าย
ห้าปีมานี้ หานชิงลองใช้วิธีที่จะทำให้การแต่งงานของเย่โม่เซินกับเธอสิ้นสุดลง แม้ว่าหานชิงจะมีความแข็งแกร่งด้านอำนาจ แต่ว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถต้านทานแผนการของเย่โม่เซิน
ยิ่งไปกว่านั้นเธอคือภรรยาของเย่โม่เซิน คนอื่นจะมาก้าวก่ายได้ซะที่ไหนกันล่ะ
ยิ่งคิด หานชิงก็ยิ่งหงุดหงิด
“ความสามารถไม่พองั้นเหรอ นี่เป็นวิธีของเย่โม่เซินเหรอ กักขังผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ ฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าในเมื่อเธอรู้เรื่องนี้แล้ว ฉันก็ไม่ติดขัดที่จะใช้ความรุนแรงกับนาย”
“ใช้ความรุนแรงงั้นเหรอ” เย่โม่เซินคิดไปคิดมาแล้วจึงกัดฟันพูดออกมา หลังจากนั้นก็แสยะยิ้มเย็นยะเยือกออกมา “หานชิง คุณก็แค่พี่ชายของเธอเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรไปตัดสินชีวิตของเธอ ยิ่งไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องที่เธอจะชอบใคร”
หานชิง “ฉันไม่มีทางให้เธออยู่กับผู้ชายสวะอย่างนาย”
ผู้ชายสวะงั้นเหรอ
เย่โม่เซินหรี่ตาลงอย่างน่ากลัว เขาพูดน้ำเสียงลอดไร้ฟันออกมา “คุณว่าใครเป็นผู้ชายสวะ”
“ในปีนั้นนายเป็นคนทำร้ายเธอ นายก็รู้แก่ใจดี”
เซียวซู่กับลุงหนานที่อยู่ข้างนอกมองทั้งคู่กำลังตาต่อตาฟันต่อฟันอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ” ลุงหนานพูดพึมพำ จากนั้นจึงหยิบมือถือออกมา “ผมโทรบอกคุณผู้หญิงดีกว่า”
เมื่อได้ยินคำว่าคุณผู้หญิงจากปากของเขา เซียวซู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง คนที่เขาพูดน่าจะเป็น หานมู่จื่อ ดังนั้นเซียวซู่จึงรีบพูดก่อนที่ลุงหนานจะโทรออก “ลุงอย่าทำให้มันวุ่นวายเพิ่มเลย โทรหาคุณผู้หญิงของบ้านลุงในตอนนี้ ผมว่าจะยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งเข้าไปใหญ่นะ”
ได้ยินดังนั้น ลุงหนานจึงชะงักไป เขาอึ้งไปเล็กน้อยจากนั้นก็พูดว่า “ก็ถูกครับ งั้นจะทำยังไงดีครับ เราเข้าไปเกลี้ยกล่อมดีไหมครับ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน จู่ๆ ก็มีเสียงดังออกมาจากในร้านกาแฟ ที่แท้ชายสองคนที่อยู่ในร้านทำร้ายร่างกายกันแล้ว
หานชิงคงจะโดนเย่โม่เซินยั่วโมโหเข้าให้แล้ว เขาเข้าไปขย้ำคอเสื้อของเย่โม่เซิน สายตาของเขาดุร้ายเป็นอย่างมาก
“ถ้านายเข้าใกล้เธออีก ฉันจะไม่ปล่อยนายไว้แน่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่โม่เซินยังคงร้ายกาจ แม้จะโดนหานชิงขย้ำคอเสื้อ แต่ทว่าไม่เห็นท่าทีโกรธเคืองจากเขาแม้แต่น้อย
เขานิ่งมาก “ถ้าไม่เห็นว่าคุณเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอ ผมซัดคุณไปนานแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น หานชิงก็ยิ้มอย่างไม่พอใจออกมาเป็นครั้งแรก “งั้นนายก็ซัดฉันซะสิ”
เย่โม่เซินไม่ขยับ
ผลั่ก!
หานชิงซัดหมัดไปตรงมุมปากของเย่โม่เซิน
แต่ทว่าเย่โม่เซินไม่ได้หลบและไม่ตอบโต้กลับ
หานชิงอึ้งไป พอดีกับที่เซียวซู่กับลุงหนานวิ่งเข้ามาห้ามทั้งสองคนพอดี
“ทำไมนายยังไม่ซัดฉันล่ะ” หานชิงจ้องเขา
เย่โม่เซินรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดตรงมุมปาก เขาใช้มือเช็ดมันออกจากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมา “ผมไม่กล้าทำร้ายพี่ของตัวเองหรอก ถ้าภรรยาของผมตำหนิผมขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”
ได้ยินดังนั้นหานชิงเบิกตาโตแล้วจ้องไปที่เขาเหมือนกับจะพุ่งเข้าไปอีก เย่โม่เซินก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวแล้วพูดอย่างร้ายกาจ “ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะไม่ทำร้ายพี่ของตัวเอง แต่ไม่ได้แสดงว่าผมชอบถูกทำร้ายนะ วันนี้เราคุยกันถึงแค่นี้ล่ะกัน ลาก่อน”
เย่โม่เซินหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก เดินไปไม่เพียงกี่ก้าว จู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้าลง “ผมจะเอาเธอมาให้ได้”
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีอะไรขัดขวางไม่ให้ผมได้อยู่ด้วยกันกับเธอ วิธีพวกนั้นมันไม่มีทางหยุดผมได้
ความโกรธฉายออกมาทางแววตาของหานชิง แต่ลุงหนานรั้งเขาเอาไว้ “คุณผู้ชาย ช่างเถอะครับ”
หานชิงคิดไปคิดมา สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจกลับบริษัท
อีกด้านหนึ่ง
หานมู่จื่อ ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร เพราะว่าเธอนอนไม่หลับติดต่อกันมาสามวันแล้ว
ตั้งแต่ที่เย่โม่เซินบอกเธอว่ายังไม่ได้หย่ากัน ทุกคืนในสมองของเธอมีแต่เรื่องราวในอดีต เสี่ยวหมี่โต้วหลับอยู่ข้างกายเธออย่างเงียบสงบ แต่เธอกลับไม่สามารถปิดตาลงได้จนกระทั่งฟ้าสว่าง
เวลาผ่านไปสามวัน เธอรู้สึกมึนหนักศีรษะไปหมด
“เป็นอย่างนี้ต่อไปมันไม่ดีนะ ให้ฉันไปหาหมอเป็นเพื่อนเธอดีไหม” เสี่ยวเหยียนมองขอบตาคล้ำของเธอแล้วพูดขึ้น
ได้ยินดังนั้น หานมู่จื่อ จึงตั้งสติได้จากนั้นเธอจึงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นไร ผ่านไปสองสามวันคงดีขึ้น”
“วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตั้งแต่กลับมาวันนั้นเธอก็เหมือนจะแปลกๆ ไป มู่จื่อ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน เธอบอกฉันมาเถอะ”
หานมู่จื่อ คิดถึงเหตุการณ์วุ่นวายเหล่านั้น เธอรู้สึกว่าแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพูดออกไปก็ยังไม่มีเลย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
เสี่ยวเหยียนเห็นท่าทางอ่อนเพลียของเพื่อน สุดท้ายเธอจึงยอมแพ้แล้วไปชงชามาให้เพื่อน จากนั้นจึงเดินออกไป
เสี่ยวเหยียนเพิ่งจะเดินออกจากห้องทำงานก็เห็นเงาที่กำลังเดินอย่างลับๆ ล่อๆ เข้ามา
“คุณเป็นใคร”
หลินซิงหั่ว ห่อตัวมิดชิดเหมือนบะจ่าง เมื่อโดนเสี่ยวเหยียนทัก เธอจึงชะงักไปแล้วดึงผ้าปิดปากลง
“ฉันเอง”
“หลินซิงหั่ว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เสี่ยวเหยียนมองเธออย่างตกตะลึง ที่แปลกคือเธอมาคนเดียว ไม่มีผู้จัดการตามมาด้วย
หลินซิงหั่ว หัวเราะจนเห็นฟันขาวเรียงซี่สวย
“ฉันจะไปถ่ายละคร พอดีว่าผ่านทางนี้เลยถือโอกาสแวะเข้ามาหาไง”
เสี่ยวเหยียน “มาหามู่จื่อเหรอ มู่จื่อน่าจะไม่มีอารมณ์นะ”
“ไม่มีอารมณ์ยังไง” หลินซิงหั่ว กลอกตาไปมา “หรือว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ”
“เธอรู้ได้ยังไงว่ามู่จื่อนอนไม่หลับ” เสี่ยวเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย
หลินซิงหั่ว จิ๊ปาก “โดนประธานบริษัทตระกูลเย่อุ้ม เธอไม่ตื่นเต้นแล้วใครจะตื่นเต้นล่ะ”