บทที่ 485 ใช้ชีวิตไปให้สุด
เย่โม่เซินมือหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของหานมู่จื่อ ริมฝีปากอันบางนั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ผมนอนหนุนคุณทั้งคืน ช่วยคุณทำแบบนี้ไม่เป็นอะไรหรอกเรื่องเล็กน้อย”
หานมู่จื่อ “……” เธอนิ่งอึ้งไปหลายวินาที จากนั้นก็ผลักมือเขาออก “นี่ไม่ใช่อยู่ที่ปัญหาเล็กหรือใหญ่ แต่เป็นเรื่องปัญหาบาดแผลของนาย”
พูดจบ เธอก็ยืนขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “โอเค ขาของฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ลุกขึ้นได้แล้ว นายรีบนั่งให้ดีเถอะ”
ในตอนที่เธอเตรียมตัวจะไปห้องน้ำ ขณะที่เดินยังคงกะเผลกอยู่เล็กน้อย หลังจากขาเพิ่งจะหายดี ดังนั้นจึงยังเดินไม่ค่อยราบรื่น แต่หานมู่จื่อยังคงเดินไปห้องน้ำภายใต้สายตาของใครบางคน
จนกระทั่งเธอออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว่าในห้องผู้ป่วยมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือเซียวซู่่
เมื่อเห็นเขา หานมู่จื่อก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ดึงกระดาษเช็ดมือมาเช็ดมือให้แห้ง พลางเดินเข้าไป
“ทำไมมาแต่เช้าเชียว” เธอถามไปอย่างเป็นธรรมชาติ เซียวซู่่ไม่ได้โต้ตอบอะไร ได้แต่เพียงพยักหน้าเบาๆ
“วันนี้คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ ตอนเย็นค่อยมาใหม่” เย่โม่เซินพูดพลางมองไปยังหานมู่จื่อ
ได้ยินแบบนั้น หานมู่จื่อหยุดฝีเท้า สายตามองไปยังใบหน้าของเขา “ตอนเย็นค่อยมาใหม่อย่างนั้นหรือ”
เย่โม่เซินยกริมฝีปากลึกเข้า ค่อยๆขมวดคิ้ว “เธอไม่เต็มใจหรือ”
“……”
เธอไม่เต็มใจอะไรที่ไหนกัน เพียงแต่เธอคิดว่าเธอจะอยู่ดูแลเขาตลอด 24 ชั่วโมง ไม่คิดว่าเขาจะให้เซียวซู่่มาสลับเวรกับเธอ
เขายังมีสำนึกที่ดี
“อย่างนั้นตอนเย็นฉันมาใหม่ เดี๋ยวจะเอาอาหารมาให้คุณ วันนี้ฉันกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน”
เธอนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้มาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ปวดหลังปวดเอวไปหมดทั้งตัว อีกอย่างเธอยังต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อจัดการธุระสักหน่อย
“โอเค ตอนเย็นผมจะรอคุณ”
ตอนที่หานมู่จื่อกำลังจะออกไปก็ได้ยินเย่โม่เซินพูดประโยคนี้ ทำให้รู้สึกคลุมเครืออย่างอธิบายไม่ถูก เธอมองไปยังเซี่ยวซู่หนหนึ่ง ก็พบว่าเขาก็มองมายังเธอ
ใบหน้าร้อนผ่าว หานมู่จื่อรีบออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าขณะที่ออกมาเธอไม่ลืมที่จะหยิบกระติกเก็บอุณหภูมิที่ตนเองนำมาเมื่อวานนี้กลับไปด้วย
รอจนกระทั่งเธอออกไปแล้ว เซี่ยวซู่ก็มีสีหน้าเย็นชาลง
“คุณชายเย่ ครั้งนี้ท่านหุนหันพลันแล่น จนบาดเจ็บแบบนี้ แล้วจะบอกกับน้าส้งได้อย่างไร”
“แล้วใครบอกว่าจะต้องบอกเธอล่ะ” เย่โม่เซินพูดไปอย่างลอย ๆ หลังจากหานมู่จื่อกลับไปแล้ว เขาก็เผลอจะเอนตัวลงนอนอย่างลืมตัว แต่เมื่อแผ่นหลังถูกสัมผัส ก็เจ็บปวดจนทำให้เขาลุกกลับขึ้นมานั่งทันที ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกได้กลายเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
มันไม่เหมือนกับเมื่อคืนนี้เลย ที่ยังนอนร้องไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ตรงนั้นกับหานมู่จื่อ
“ไม่ให้บอกน้าส้ง แล้วถ้าหากว่าน้าส้งถามขึ้นมาจะให้ทำอย่างไรครับ” เซี่ยวซู่มีใบหน้าและดวงตาที่ซึมเล็กน้อย “คุณชายเย่ไม่ได้บาดเจ็บธรรมดา อีกอย่าง น้าส้งก็เป็นหมอ…เธอมองเพียงพริบตาเดียวก็รู้แล้ว ถ้าหากบอกให้น้าส้งได้รู้ว่า คุณบาดเจ็บเพราะไปช่วยคุณหาน เธอคงจะต้อง…”
“เรียกใครว่าคุณหาน” เย่โม่เซินพูดขัดจังหวะเขา ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พึงพอใจ “เรียกว่าคุณนายน้อย”
เซียวซู่่ “…คุณชายเย่”
“ทำไม” เย่โม่เซินงอริมฝีปากขึ้นอย่างเยือกเย็น “ฉันได้รับบาดเจ็บ พูดอะไรดูไม่มีน้ำหนักแล้วหรือไง”
เซี่ยวซู่ลดสายตาลงทันที พูดไปอย่างหดหู่ “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่ว่า…คุณชายเย่บาดเจ็บสาหัสแบบนี้ ผมคิดว่าต่อไปคุณชายเย่ยังจะต้อง…”
“ถึงเวลาที่นายจะต้องมาสอนฉันแล้วเหรอ” ไม่ทันจะรอให้เขาพูดประโยคหลังเสร็จสิ้น เย่โม่เซินก็พูดขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา
“คุณชายเย่ เรื่องก็ผ่านไปห้าปีแล้ว คุณ…”
“ไสหัวออกไป” เย่โม่เซินจู่ ๆก็หัวร้อนขึ้นมา แล้วระเบิดคำพูดออกไปแบบนั้น
เซี่ยวซู่ “……”
เขาได้แต่ปิดปากเงียบ จากนั้นก็ออกไปจากห้องผู้ป่วย
ในความรู้สึกส่วนตัวเขาแล้วไม่ต้องการให้เย่โม่เซินและหานมู่จื่อต้องทำผิดซ้ำอีก เขารู้เรื่องเมื่อห้าปีก่อนดีมากกว่าใคร ๆ นอกจากนี้เขายังรู้อีกว่าสำหรับเย่โม่เซินแล้วหานมู่จื่อนั้นถูกรักษาไว้ในสถานะใด
แต่ว่า ตอนนี้เห็นเย่โม่เซิงบาดเจ็บแบบนี้ เซียวซู่่ก็ไม่อาจฝืนทนได้
ใช่แล้ว เขารู้สึกกว่าหานมู่จื่อคนนี้ไม่เลวเลย
แต่เย่โม่เซินเป็นเจ้านายที่เขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี จนอาจถือได้ว่าเป็นพี่น้องกันไปแล้ว
ครั้งนี้เย่โม่เซินได้รับบาดเจ็บแบบนี้ ครั้งต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก คุณชายเย่จะไม่ต้องเอาชีวิตไปแลกหรือ
นี่อาจจะไม่แน่นอนทั้งหมด
โธ่
เซียวซู่่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอยู่ในใจ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา และหยุดการกระทำที่จะโทรศัพท์ไปหาน้าส้ง
*
บริษัท
แม้ว่าหานมู่จื่อจะมีอาการปวดเอวปวดหลัง แต่เธอไม่ได้ตรงกลับไปบ้าน แต่กลับไปที่บริษัทเพื่อตรวจดูสถานการณ์
พนักงานทุกคนในบริษัทล้วนแต่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ณ์ แต่เลิงเยาเยาได้ถามเรื่องนี้จากเสี่ยวเหยียน เลิงเยาเยาก็กลับไปเล่าให้ทุกคนฟังต่อ เมื่อทุกคนได้ยิน ก็ล้วนแต่กังวลถึงเจ้านายของพวกเธอเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อหานมู่จื่อเดินทางถึงบริษัท จึงมีแต่คนมารวมตัวห้อมล้อม
“คุณมู่จื่อ ได้ยินว่าเมื่อวานนี้มีคนมาก่อเรื่องวุ่นวายในบริษัทเราหรือ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมคุณไม่เรียกพวกเราล่ะ พวกเรามีกันตั้งหลายคน ทำไมไม่ให้พวกเราไปจัดการกับคนที่มาทำร้ายคุณมู่จื่อ”
“ใช่ คนพวกนี้มันยโสโอหังเกินไปแล้ว และคงจะมองว่าพวกคุณมีคนน้อยกว่าจึงได้มารังแก”
หานมู่จื่อมองไปยังนักออกแบบที่อยู่รอบ ๆ รู้สึกประหลาดใจมาก
ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ พวกเขาแต่ละคนล้วนแต่คิดจะขจัดตัวเอง แต่ตอนนี้…อันที่จริงแล้วผู้คนที่รายล้อมอยู่ตรงหน้าล้วนแต่ใส่ใจตัวเอง
ในหัวใจของเธอจึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา พูดไปพลางหัวเราะ “ฉันไม่เป็นอะไร เรื่องมันก็ได้รับการแก้ไขจนเกือบเรียบร้อยแล้ว”
“คุณต้องการให้พวกเราช่วยอะไรไหม ฉันได้ยินมาว่าคนที่เข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเป็นลูกค้าของพวกเรา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เฮ้!” เลิงเยาเยาลุกขึ้นยืนตรงกลาง มือทั้งสองข้างกอดอกไว้แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “ที่ฉันบอกพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการให้พวกเธอเอามานินทานะ ไม่เห็นสีหน้าของมู่จื่อหรือแย่มากแล้วนะ กลับไปกันให้หมดก่อนเถอะ ให้มู่จื่อได้อยู่คนเดียวสักพัก”
“เยาเยา พวกเราไม่ได้แต่เพียงใส่ใจเป็นห่วงคุณมู่จื่อนะ เธอพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร เธอคิดจะครอบครองคุณมู่จื่อไว้คนเดียวหรือ”
“แม่ง!” เลิงเยาเยามองไปยังจางยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ “เธอเป็นคนมีพิษภัยหรือ เธอเป็นผู้หญิง ฉันก็เป็นผู้หญิง ฉันจะไปครอบครองไว้เพื่ออะไร”
หานมู่จื่อมองไปยังเสียงที่ดัง ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลทั้งคืนเธอจึงรู้สึกปวดหัว
“พวกเธอเลิกส่งเสียงดังได้แล้ว ฉันต้องการจะพักผ่อน”
หานมู่จื่อพูดจบ ก็มุ่งหน้าหันเดินไปยังทิศทางของลิฟต์
คนอื่น ๆมองหน้ากันและกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายไปที่ของตนเอง
เลิงเยาเยายืนตะลึงอยู่ตรงนั้น หลังจากคิดแล้วคิดอีกจึงได้รีบเดินตามหานมู่จื่อไป หลังจากที่ได้เห็นเรื่องของเธอกับเย่โม่เซินดวยตาตนเองในงานแถลงข่าวครั้งก่อน เลิงเยาเยาก็รู้สึกว่าตนเองกับเธอใกล้ชิดกันมากขึ้น
อีกอย่างคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เป็นบุคคลที่เหลิงเยาเยาเลื่อมใสศรัทธา
ได้อยู่ใกล้ชิดคนที่ตนเองศรัทธามากขึ้น เลิงเยาเยาก็ไม่อาจจะปล่อยโอกาสแบบนี้ออกไปได้
“มู่จื่อ เธอรอฉันก่อน” เลิงเยาเยารีบเดินตามหานมู่จื่อเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อยืนขยับไปอยู่ด้านข้าง เว้นระยะห่างให้เธอ เลิงเยาเยาก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “จริงสิมู่จื่อ เมื่อวานนี้เธอไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”