บทที่ 488 ทิ้งผมไว้คนเดียวที่โรงพยาบาล
“หม่ามี๊ แม่จะไปดูแลคนป่วยที่โรงพยาบาลเหรอ ทำไมล่ะ” เสี่ยวหมี่โต้วเอียงศีรษะ ทำท่าทางดูงุนงง
การโกหกเมื่อกี้นี้เพิ่งถูกเขาจับได้ หานมู่จื่อไม่อาจจะพูดโกหกต่อหน้าเขาได้อีก ดังนั้นจึงไม่อยากจะโกหกเขาอีก
“เพราะคนคนนั้นช่วยหม่ามี๊เอาไว้ ถ้าไม่ได้คนคนนั้น ตอนนี้คนที่ต้องไปนอนในโรงพยาบาลก็คงเป็นหม่ามี๊ของลูก การเป็นคนเราต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ เขาช่วยหม่ามี๊ไว้ ดังนั้นหม่ามี๊จึงต้องดูแลเขาที่โรงพยาบาล ลูกเข้าใจความหมายที่หม่ามี๊พูดไหม” หานมู่จื่ออธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน ดวงตาทั้งคู่ของเสี่ยวหมี่โต้วเหมือนลูกแก้วสะอาดที่ไม่มีสิ่งใดปลอมปน
หลังจากได้ยินหานมู่จื่อพูด เขาก็พยักหน้า “อื้ม อย่างนั้นผมจะไปกับหม่ามี๊”
ได้ยินแบบนั้น หานมู่จื่อก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป พูดโพล่งออกมาทันที “ไม่ได้”
เสี่ยวหมี่โต้วสงสัย “ทำไมล่ะหม่ามี๊ ถ้าคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณของหม่ามี๊ เสี่ยวหมี่โต้วเป็นลูกรักของหม่ามี๊ อย่างนั้นลูกก็ควรจะไปที่โรงพยาบาลกับหม่ามี๊สิ!”
หานมู่จื่อ “……”
จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าคำพูดของเสี่ยวหมี่โต้วทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เพียงหาเหตุผลอื่นมาหักล้างเขา
“ไม่ได้หรอกนะ โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าไปได้ ในนั้นมีผู้ป่วยอยู่เยอะแยะ มีเชื้อโรคมากมาย ลูกยังเป็นเด็ก ภูมิต้านทานยังต่ำ ไปที่นั่นอาจจะไม่สบายได้ง่ายนะ”
เสี่ยวหมี่โต้ว “จริงเหรอครับ”
“อื้ม ถ้าไม่เชื่อลูกลองถามน้าเสี่ยวเหยียนดูสิ”
“นี่เป็นเรื่องจริง” เสี่ยวเหยียนพยักหน้า “จริง ๆแล้วโรงพยายาลไม่ใช่ที่ที่ดีอะไรหรอกนะ ถ้าหากว่านายป่วยก็สามารถจะไปได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ป่วย อย่างนั้นก็ไม่ต้องไป อีกอย่างตอนนี้นายยังเด็กมาก หากว่านายไปด้วย หม่ามี๊ของนายยังต้องดูแลนาย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลผู้มีพระคุณ หากว่าเสี่ยวหมี่โต้วต้องการจะช่วยหม่ามี๊ตอบแทนคุณคนนั้น รอให้เขาออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยให้หม่ามี๊เชิญเขามากินข้าวด้วยกัน…”
พูดถึงจุดนี้ เสี่ยวเหยียนชะงัก เธอก็ตกใจพูดไม่จบ สีหน้าเก้อเขินมองไปยังหานมู่จื่อ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เอาล่ะ นี่ก็สายมากแล้ว ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วนายรีบกลับบ้านกับฉันเถอะ”
เสี่ยวหมี่โต้ว “อื้ม อย่างนั้นหม่ามี๊…ผมกลับบ้านกลับน้าเสี่ยวเหยียนก่อนนะ”
“อื้ม หานมู่จื่อแตะศีรษะของเสี่ยวหมี่โต้ว โอบกอดเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ “คืนนี้ก็หลับให้ฝันดีนะ รอหม่ามี๊กลับมาตอนเช้าแล้วจะพาลูกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นนะ”
“คำพูดนั้นของหม่ามี๊พูดแล้วก็แล้วกัน ครั้งก่อนแม่บอกจะพาเสี่ยวหมี่โต้วไปเล่นที่สนามเด็กเล่นเพื่อฉลองวันเกิด แต่ก็ยังไม่ได้ทำเลยนะ”
หานมู่จื่อ “……”
“โอเค ไปกันเถอะ” เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะอุ้มเสี่ยวหมี่โต้วขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขนของเธอแล้วเดินออกไปข้างนอก กลัวว่าหากปล่อยไว้เสี่ยวหมี่โต้วคงจะกวนหานมู่จื่ออีกเป็นครึ่งวันแน่
เธอยังคงเข้าใจหานมู่จื่อ รู้ถึงความทุกข์ลำบากของเธอในตอนนี้ ดังนั้นจึงช่วยจัดการเรื่องต่างๆแทนเธอให้สมบูรณ์แบบ
จนกระทั่งทุกคนออกไป หานมู่จื่อเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็วเพื่อปรุงอาหาร เสี่ยวเหยียนได้เตรียมส่วนผสมทั้งหมดไว้ให้แล้ว ดังนั้นเธอจึงมุ่งตรงไปเปิดเตา จากนั้นหลังจากเธอจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว
เมื่อหานมู่จื่อนำกระติกเก็บอุณหภูมิแล้วจะออกไปข้างนอก โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ที่แท้ก็เป็นสายจากเย่โม่เซิน
เธอเลิกคิ้วขึ้น คนคนนี้โทรมาหาเธอตอนนี้ ต้องการจะทำอะไร
เธอรับสายโทรศัพท์ “ฮัลโหล”
“เธอยังไม่มาหรือ”
หานมู่จื่อเหลือบมองกระติกเก็บอุณหภูมิในมือ ตอบไปอย่างอารมณ์ไม่ดี “ฉันต้องการทำอาหารให้นาย ก็เลยต้องเสียเวลา เข้าใจไหม”
“อ้อ” น้ำเสียงที่ดูไม่พอใจเมื่อได้ยินว่าเธอกำลังเตรียมอาหารให้เขา น้ำเสียงกลับดูมีความสุขขึ้น จากนั้นเขาก็ถามด้วยเสียงต่ำ “มืดแล้ว อาจจะไม่ค่อยปลอดภัย เดี๋ยวผมให้เซียวซู่ไปรับคุณ คุณอยู่ที่ไหน”
เซียวซู่่จะเต็มใจมารับตนเองหรือ หานมู่จื่อล้มเลิกความคิดที่จะไปลานจอดรถ
ในเวลานี้ที่จอดรถไม่มีใครอยู่สักคนเลย อีกอย่างตรงนั้นก็ค่อนข้างมืด ไม่แน่ว่าอาจจะมีบุคคลอันตรายแฝงตัวอยู่ตรงนั้นก็ได้
แต่เธอก็ไม่อาจจะบอกกับเย่โม่เซินได้ว่าเธออยู่ที่ไหน หากว่าเขารู้เข้า ครั้งหน้าหากไปหาเขา ทำให้เขาเจอกับเสี่ยวหมี่โต้วจะทำอย่างไร
ครู่หนึ่ง หานมู่จื่อก็กำลังคิดว่าควรจะบอกที่อยู่กับเขาหรือไม่
“ทำไมเงียบไป” เสียงใสๆของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นมาในโทรศัพท์อีกครั้ง หานมู่จื่อจึงมีสติกลับมา
คิดแล้วคิดอีก มีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อยู่ด้านข้าง ถ้าไปพบตรงนั้นคงจะดีกว่า
เมื่อคิดได้แบบนี้ หานมู่จื่อจึงได้บอกชื่อของซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นไป
“คุณอยู่ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือ” อีกด้านหนึ่งเย่โม่เซินก็รู้สึกอะไรบางอย่าง จึงได้ถามเพิ่มเติม
หานมู่จื่อส่งเสียงไอกระแอมออกมา พยายามที่จะปกปิด “บังเอิญฉันมาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เขามาจากโรงพยาบาล ใช้เวลามาถึงตรงนี้กำลังดี ไม่ต้องเสียเวลา”
“หึ” เย่โม่เซินหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ผู้หญิงคนนี้…เปลี่ยนเป็นแนวคิดด้านเวลาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ถ้าพูดมากก็ไม่ต้องมาแล้ว ฉันเรียกรถไปเองก็ได้!” หานมู่จื่อรู้สึกโกรธเล็กน้อย
“เหอะ ว่านิดหน่อยต้องหงุดหงิดด้วยหรือ อย่างนั้นจะมีคนไปรับหรือไม่มีคุณก็ไม่ต้องมาแล้ว ทิ้งผมไว้ในโรงพยาบาลคนเดียวก็พอแล้ว”
หานมู่จื่อ “……”
เธอไม่สามารถจะเถียงอะไรเขาได้จริงๆ ตอนนี้เขาคือคนป่วย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องยอมให้เขา!
หานมู่จื่อเงียบไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง เย่โม่เซินที่อยู่ปลายสายก็นุ่มนวลขึ้น “อีกไม่นานเขาก็ถึงแล้ว เตรียมรับสายแล้วกัน”
“รู้แล้ว”
หลังจากวางสาย หานมู่จื่อก็หยิบกุญแจ และออกจากประตูไป
อาจจะเป็นเพราะความฝันนั้น เมื่อตอนที่ออกไปด้านนอกก็เงียบสงัดมาก แม้แต่ในลิฟต์ก็ไม่พบเจอใครสักคน ดังนั้นในใจของหานมู่จื่อจึงรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อไปถึงประตูของที่พัก เพื่อจะข้ามผ่านถนนเส้นเล็กๆ แม้ว่าตรงนั้นจะมีไฟถนนส่องทาง แต่กลับยังมีจุดมืดอยู่บางส่วน
หานมู่จื่อเดินไปอย่างเงียบ ๆ ดวงตาคู่นั้นที่งดงามมองสำรวจไปรอบด้าน
กลัวว่าจะมีใครโผล่ออกมาจากมุมมืด
ซวา!
ต้นหญ้าขยับเล็กน้อย หานมู่จื่อก็กลัวมากจนขนลุกไปทั้งตัว จากนั้นร่างกายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนถูกสกัดจุดไว้
เธอจ้องมองไปยังพุ่มหญ้าที่เพิ่งจะผ่านมา
สักพักหนึ่ง ก็มีแมวจรจัดตัวหนึ่งเดินออกมา มันคาบลูกแมวตัวน้อยเอาไว้ในปาก เมื่อเห็นหานมู่จื่อ มันก็ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง กลับไปซ่อนตัวในพงหญ้า
เมื่อเห็นภาพแบบนี้ หานมู่จื่อก็สามารถวางใจลงได้
ที่แท้ก็แค่แมว แต่…ดูลักษณะของแมวตัวนี้แล้ว มันกำลังย้ายลูกของมันอยู่หรือเปล่า
หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป เข้าไปใกล้ๆ เธอก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องของแมวตัวน้อย เมื่อแม่แมวที่คาบลูกอยู่ในปากเห็นเธอเข้ามาใกล้ เสียงร้องอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันตัวก็ดังออกมาจากลำคอ แสดงออกให้เธอเห็น ศักดิ์ศรี
“ไม่ต้องกลัว ฉันมาดีไม่ได้มาทำอันตราย” หานมู่จื่อหยุดฝีเท้าลง ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบเปิดกระติกเก็บอุณหภูมิ จากนั้นก็เอาชั้นบนสุดออกมา
ลาที่เธอนึ่งวันนี้ เดิมทีจะเอาไปให้เย่โม่เซินได้กิน ตอนนี้…กลับยกให้แมวตัวนี้แล้ว
“นี่สำหรับเธอนะ…” หานมู่จื่อวางปลาเอาไว้ตรงหน้าแมวเหมียว
เมื่อแมวเหมียวได้กลิ่น สายตาก็เปล่งประกาย มองไปยังหานมู่จื่อ ยังคงกลัวเล็กน้อยที่จะก้าวออกไปข้างหน้า
หานมู่จื่อมองไปรอบด้าน ที่ตรงนี้ค่อนข้างเงียบ ไม่น่าจะมีใครมารบกวน ดังนั้นเธอจึงผลักจานเข้าไปตรงมุม ให้พงหญ้าปิดบังสิ่งเหล่านี้ จากนั้นจึงลุกขึ้นและจากไป